กทม.25 ส.ค.- ศาลพิพากษายกฟ้อง ผู้บริหารบริษัทฝูอัน ทราเวล กับพวกรวม 13 คน คดีทัวร์ศูนย์เหรียญ เหตุ ไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าจำเลยร่วมกันกระทำความผิด
ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษา คดีที่อัยการยื่นฟ้องนายสมเกียรติ คงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฝูอัน ทราเวล จำกัด กับพวกรวม 13 คน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้รับค่าบริการ ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวกระทำการอันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวหาประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมจากนักท่องเที่ยว ร่วมกันประกอบธุรกิจนำเที่ยวโดยไม่ได้อนุญาต”
คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อ 25 ตุลาคม 2559 สืบเนื่องจากวันที่ 24 มีนาคม -31 สิงหาคม 2559 บริษัทฝูอันฯนำนักท่องเที่ยว ชาวจีนเข้ามาโดยไม่มีค่าบริการหรือที่เรียกว่าทัวร์ศูนย์เหรียญ จากนั้นบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต จำกัดของจำเลยให้ใช้รถบัส 2,500 คัน รับนักท่องเที่ยวฟรี โดยเป็นผู้กำหนดแผนการเดินทางให้มัคคุเทศก์และผู้ขับขี่นำรถไปจอด ให้นักท่องเที่ยวแวะซื้อสินค้าจากร้านในเครือเดียวกับบริษัท โอเอ ทรานสปอร์ตฯ ซึ่งสินค้าภายในร้านมีราคาแพงกว่าท้องตลาดหลายเท่า แสดงฉลากไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการขูดรีดนักท่องเที่ยว ไม่เกิดการแข่งขันเสรีทางการค้า ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย นอกจากนี้มีข้อมูลการโอนเงินระหว่างบริษัทพวกจำเลย จำนวนมาก มีการอำพรางแบ่งปันผลประโยชน์ โดย บริษัท โอเอ ทรานสปอร์ต ฯแบ่งปันผลประโยชน์ให้บริษัททัวร์ร้อยละ 30 ถึง 40 ให้มัคคุเทศก์ร้อยละ 3 ถึง 5 มีพฤติกรรมเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำ ปกปิดวิธีการอันมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินของนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญชาวจีน รวมมูลค่าความเสียหาย 98 ล้านบาท
จำเลยทั้ง 13 คน มาศาล ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่าย เห็นว่า เหตุที่นายทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางเพิกถอนใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยวของบริษัท ซิน หยวน ทราเวล จำกัด และบริษัทฝูอัน ทราเวล จำกัด เพราะกรรมการขาดคุณสมบัติไม่มีสัญชาติไทยตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ แต่ไม่ได้เพิกถอนใบอนุญาตธุรกิจนำเที่ยว เพราะบริษัททั้งสองไม่ได้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ผิดกฎหมาย ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานและนักท่องเที่ยวคนใดมาเบิกความกับศาลว่าถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรมหรือถูกเอารัดเอาเปรียบจากบริษัท มีเพียงบันทึกคำให้การจากท่องเที่ยวที่ระบุว่ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและมีความประทับใจและไม่เคยถูกบังคับให้ซื้อสินค้าหรือบังคับให้เดินทางไปที่ใดที่หนึ่ง ส่วนข้อหาอั้งยี่โจทก์ไม่มีข้อเท็จจริงหรือข้อมูลใดเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจดังกล่าวเลย การฟ้องข้อหาอั้งยี่ นำไปสู่การแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงิน ประกอบกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เบิกความว่าทำหน้าที่เพียงตรวจสอบเส้นทางการเงินของจำเลยทั้ง 13 จากเอกสารสำนวนการสอบสวนเท่านั้น หลังตรวจสอยเสร็จก็ได้ส่งเรื่องคืนไปยังพนักงานสอบสวน ศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้อง การกระทำเช่นนั้นทำให้เศรษฐกิจของชาติเสียหายเป็นอย่างมาก แต่จากพยานหลักฐานที่นำสืบมากลับไม่มีข้อเท็จจริงที่ทำให้เห็นว่าจำเลยทั้ง 13 ได้ร่วมกันกระทำความผิด ศาลจึงพิพากษายกฟ้อง.-สำนักข่าวไทย