กรุงเทพฯ 14 ส.ค. – กลุ่มโรงกลั่นผันตัวเน้นลงทุนปิโตรเคมี รับกระแสรถยนต์ไฟฟ้า หวังสร้างรายได้และการเติบโตในอนาคต
นายพงษ์ชัย ชัยจิรวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโรงกลั่นและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนธุรกิจปิโตรเคมี เพื่อสร้างรายได้และการเติบโตในกับบริษัทในอนาคต ซึ่งจะไม่ใช่พื้นที่โรงกลั่นบางจากฯ แต่คงจะเป็นพื้นที่อื่นทั้งในและต่างประเทศเน้นอาเซียน ซึ่งสอดคล้องกับแผนธุรกิจที่ทำธุรกิจพลังงานที่หลากหลาย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนวัตกรรม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในอนาคต โดยขณะนี้มุมมองหลากหลายคาดว่าเทคโนโลยีอีวีจะเข้ามาทดแทนน้ำมันใน 10-15 ปีข้างหน้า แต่รถเก่ายังจะใช้น้ำมันต่อไป ดังนั้น จึงต้องศึกษารอบด้าน
นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานใน 2 บริษัทร่วมทุน ได้แก่ IRPC A&L Company Limited ผู้ผลิตเม็ดพลาสติก ABS เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ และ IRPC Polyol Company Limited ผู้ผลิตโพลียูริเทน เพื่อเพิ่มการผลิตเป็น 2 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้า หลังจากปัจจุบันการผลิตโพลียูริเทนยังทำได้เพียง ร้อยละ 50 ของกำลังการผลิตเท่านั้น ส่วนการผลิตเม็ดพลาสติก ABS สำหรับรถยนต์ก็มีแผนที่จะขยายตลาดเข้าไปในอาเซียนที่มีการเติบโต จากปัจจุบันที่มีเพียงการขายภายในประเทศเท่านั้น
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัท IRPC Polyol Company Limited ซึ่งบริษัทถือหุ้นร้อยละ 75 และมี PCC Rokita SA (Poland) จากโปแลนด์ เข้ามาถือหุ้นร้อยละ 25 เมื่อปลายปีที่แล้วนั้น และมีแผนที่จะเพิ่มการถือหุ้นเป็นระดับร้อยละ 50 ในอนาคตหลังจากจะร่วมกันทำตลาดระยะหนึ่งก่อน ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการแข็งแกร่งของบริษัทร่วมทุนนี้ โดยมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2 เท่า จากปัจจุบันที่มีการผลิตระดับ ร้อยละ 50 ของกำลังการผลิต 25,000 ตัน/ปี
สำหรับบริษัท IRPC A&L Company Limited นั้น บริษัทถือหุ้นร้อยละ 60 ร่วมกับ Nippon A&L (NAL) จากญี่ปุ่นร้อยละ 37 และ Sumithai อีกร้อยละ 3 โดยบริษัทร่วมทุนนี้ก็มีแผนที่จะขยายตลาดออกไปในอาเซียนที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเติบโตมาก จากเดิมที่มีการขายเฉพาะในประเทศเท่านั้น ซึ่งแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ Nippon นำสูตรการผลิตมาให้โรงงานในไทยผลิตแล้วขายในอาเซียน ก็มีแผนที่จะเพิ่มยอดขายเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 20,000 ตัน/ปี เป็น 40,000 ตัน/ปีภายใน 5 ปีข้างหน้า
ส่วนที่ดินของบริษัทที่มีอยู่จำนวนกว่า 4,000 ไร่ขณะนี้นั้น ยังไม่มีความคืบหน้ามากนัก โดยพื้นที่ใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ที่มีกว่า 2,000 ไร่นั้น เคยประกาศขายพื้นที่ไปแล้ว แต่ปรากฎว่าได้รับความสนใจน้อย ทำให้ยังไม่ตัดสินใจที่จะขายในขณะนี้ และยังรอดูการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จากภาครัฐบาลด้วย ส่วนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ใน อ.จะนะ จ.สงขลานั้น อยู่ใกล้กับพื้นที่การก่อสร้างท่าเรือสงขลา 2 ซึ่งคงต้องรอดูการพัฒนาของภาครัฐก่อนเพื่อที่จะบริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวอย่างไรต่อไป.-สำนักข่าวไทย