IRPC เตรียมแผนรับมือกระแส EV ลดผลิตน้ำมันเพิ่มปิโตรเคมี

กรุงเทพฯ 9. ส.ค. – ไออาร์พีซีเดินหน้าแผน Beyond Everest เสนอบอร์ดไตรมาส 3/60 ลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์ ลดการผลิตน้ำมันเปลี่ยนเป็นปิโตรเคมี รับกระแส EV พร้อมลงทุนย่อยอีกหลายโครงการคาดปี 2561 สร้างกำไรสูงสุด


นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมความพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นจากกระแสการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาแทนที่น้ำมัน ซึ่งโรงกลั่นไออาร์พีซี จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและหันไปเพิ่มกำลังการผลิตปิโตรเคมีมาทดแทนน้ำมัน  โดยโครงการล่าสุดที่จะดำเนินการและจะศึกษาเสร็จเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในไตรมาส 3/2560 คือ โครงการ Beyond Everest ซึ่งจะประกอบด้วย 2 โครงการ คือ  ขยายกำลังผลิตอะโรเมติกส์ 1.1 ล้านตันต่อปี  โดยใช้วัตถุดิบจากโครงการ UHV และโครงการขยายกำลังผลิตแนฟทาแครกเกอร์ ทำให้ได้เอทิลีนเพิ่มอีกร้อยละ 50 หรือประมาณ 300,000 ตันต่อปี  คาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวม 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่ง 2 โครงการนี้จะช่วยเพิ่มกำลังผลิตปิโตรเคมีได้ร้อยละ 13-15 ของยอดกำลังกลั่น ซึ่งปัจจุบันทำปิโตรเคมีอยู่แล้วร้อยละ 15 จะเพิ่มเป็นร้อยละ 28-30 เพื่อรับมือกับการหลีกหนีจากผลิตเบนซีนมาเป็นปิโตรเคมีแทน และในอนาคตอาจมาทดแทนการกลั่นน้ำมันดีเซล และจะส่งผลให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มราคาตลาด(Market GIM) ยืนอยู่เหนือ20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 14.33 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล 

“การผลิตปิโตรเคมียังเติบโตได้อีกมาก ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังขยายตัว เพราะหากจีดีพีโลกโตร้อยละ 3-3.5 ความต้องการปิโตรเคมีจะโตมากกว่า หรืออยู่ที่ร้อยละ 4-5 และราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับต่ำ 40-50 ดอลลาร์สหรัฐ โอกาสที่ไบโอเคมีจะเข้ามาทดแทนปิโตรเคมีเป็นไปได้ยาก” นายสุกฤตย์ กล่าว


ส่วนโครงการปรับปรุงคุณภาพการผลิตสู่ผลิตภัณฑ์สะอาด (UHV) มูลค่าเงินลงทุน 34,000 ล้านบาทที่กำลังการผลิตยังไม่เป็นไปตามแผนนั้น บริษัทได้เตรียม 3 แนวทางปรับปรุงคือ

 1. ปรับสูตรสารเร่งปฏิกิริยาเพื่อให้ได้พร็อบโพรลีน เป็นไปตามเป้าที่ 320,000 ตัน/ปี จากขณะนี้ผลิตได้เพียง 250,000 ตัน/ปี ทำให้มาร์จินต่ำกว่าเป้าหมายเดิม 30 เซนต์/บาร์เรล หรือรายได้หายไป 600 ล้านบาทเสร็จสิ้นปีนี้  2. ติดตั้งอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน (Catalyst Cooler) ในหน่วยเพิ่มมูลค่าน้ำมันหนัก โดยใช้ตัวเร่งปฏิกริยา ใช้เงินลงทุน 1,390 ล้านบาท  คาดว่าจะเสร็จสิ้นปี2561โดยจะทำให้ใช้น้ำมันดิบคุณภาพหลากหลายต้นทุนจะต่ำลง และ  3.โครงการMax Gasoline ติดตั้งหอกลั่น ลงทุนอีก 1,100 ล้านบาท ปรับสูตรคุณภาพน้ำมันที่เดิมส่งออกให้สามารถจำหน่ายเบนซินG -Based ในประเทศไทยรองรับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ทำให้มีน้ำมันเบนซินจำหน่ายได้เพิ่มอีก 25 ล้านลิตร/เดือนจากปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าเบนซินเดือนละ 130 ล้านลิตร /เดือนโครงการนี้บริษัทได้มาร์จินเพิ่ม 40 เซนต์/บาร์เรล ลงทุน 1,100 ล้านบาท เสร็จสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

“ทั้ง 3 โครงการนี้จะทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มตามราคาตลาด(Market GIM) เพิ่มขึ้น 1.9-2.4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สิ้นปี 2561 จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  โดยปี 2561เป็นปีกำไรดีที่สุดเป็นประวัติการณ์เพราะรับรู้ผบประโยขน์เต็มที่จาก UHV การขยายกำลังการผลิต PP และโครงการเอเวอร์เรสต์” นายสุกฤตย์ กล่าว


สำหรับโครงการขยาย PP หรือโพลีไพรไพลีนอีก 300,000 ตัน/ปีจากปัจจุบัน 475,000 ตัน/ปี จะก่อสร้างเสร็จสิ้นในเดือนไตรมาส 3/2560 ได้มาร์จิ้นเพิ่มอีก 1 ดอลลาร์/บาร์เรล เม็ดเงินลงทุน 200 ล้านดอลลาร์

นายสุกฤตย์ กล่าวว่า หากโครงการต่าง ๆ เป็นไปตามแผนที่วางไว้จะส่งผลให้ในปี 2561 บริษัท มีกำไรมากสุดเป็นประวัติการณ์ และปีนี้จะพยายามรักษาทำกำไรสุทธิให้มากกว่าปี 2559 ที่มี 9,700 ล้านบาท แต่ก็ยอมรับว่าผลดำเนินการได้รับผลกระทบจากการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ช่วงต้นปี ราคาพร็อพไพลีนที่อ่อนค่าและโครงการ UHV ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย 

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีนี้จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี (EBIT) ได้ตามเป้าหมายที่ 7,000 ล้านบาท แม้ครึ่งแรกของปีจะทำได้ 2,350 ล้านบาท และตั้งเป้า EBIT ปี 2561 ที่ 10,000 ล้านบาท

สำหรับเงินลงทุนในอนาคตคาดว่าจะมาจากผลดำเนินการเป็นหลักและยังอยู่ในข้อกำหนดของ ปตท.ที่ให้บริษัทใรเครือรักษาระดับภาระหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่าโดยปัจจุบัน ไออาร์พีซีอยู่ที่ 0.84 เท่า อย่างไรก็ตาม D/E อาจจะเพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 1 เท่าหลังจาก สัญญาระยะเวลาการจ่ายค่าน้ำมันดิบ(Credit term) กับ ปตท. จะลดจาก 60 วัน เหลือ 30 วันในปีหน้า ซึ่งหากลดลงก็จะทำให้หนี้เงินกู้เพื่อซื้อน้ำมันดิบกลับเข้ามาเป็นภาระหนี้ปกติประมาณ 10,000 ล้านบาท/ปี.- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

เฉลิมพระเกียรติพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง

12 ส.ค. – ทบ.ยิงสลุตหลวง เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 วันนี้เวลา 12.00 น. ณ ท้องสนามหลวง กองทัพบก โดยกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 1 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ ยิงสลุตหลวงจำนวน 21 นัด เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2568 โดยกองร้อยปืนใหญ่ยิงสลุต ใช้ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีราบ แบบ 80 ขนาด 75 มิลลิเมตร จำนวน 4 กระบอก ทำการยิงตามจังหวะของเพลงสรรเสริญพระบารมี จำนวน 21 นัด จังหวะ 5 วินาที ทีละกระบอก นับรอบจากขวาไปซ้าย ใช้เวลายิงทั้งหมด 1 นาที 40 […]

ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ อาจต้องใช้สิทธิป้องกันตนเอง

12 ส.ค.- ทบ.ชี้กัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดคุกคามต่อเนื่อง ไม่สนผิดอนุสัญญาออตตาวา โฆษก ทบ.เผยหากสถานการณ์บีบบังคับ กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้สิทธิป้องกันตนเองตามหลักสากล พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 09.10 น. สิบเอก ธีรพล เพียขันที สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 2610 พร้อมกำลังพลรวม 7 นาย ปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย บนเส้นทางประจำ ห่างจากปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ประมาณ 1 กิโลเมตร ระหว่างปฏิบัติภารกิจ สิบเอก ธีรพล ได้เหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ฝ่ายกัมพูชาลอบวางไว้ ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณข้อเท้าซ้าย ปัจจุบันได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมดงรัก อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และไม่เคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งห้ามใช้และวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลทุกชนิด นับเป็นการลอบโจมตีที่มีเป้าหมายต่อกำลังพลฝ่ายไทยโดยตรง และเกิดขึ้นในเขตแดนไทย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุลักษณะเดียวกันนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้งในพื้นที่ชายแดน สะท้อนถึงเจตนาร้ายและพฤติกรรมต่อเนื่องของฝ่ายกัมพูชาในการคุกคามฝ่ายไทย และละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนไทย สวนทางกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างประเทศในการประชุม GBC ที่ผ่านมา จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า […]

ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดขณะลาดตระเวน สูญเสียขาอีก 1 นาย

12 ส.ค.- ทหารพรานเหยียบทุ่นระเบิด ขณะลาดตระเวนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม หลังรั้วลวดหนามฝั่งไทย คาดทหารเขมรล่าถอยแล้วฝังทุ่นระเบิดไว้ เมื่อเวลา 09.10 น. รายงานข่าวจากกองทัพพื้นที่สองเปิดเผยว่า ได้เกิดเหตุทหารพราน 2610 เหยียบกับระเบิดขณะทำการลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก ฝั่งตะวันตกของปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในแนวรั้วลวดหนามของฝั่งประเทศไทย บริเวณพิกัด R51 มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ทราบชื่อ ส.อ.ธีรพล เพียขันที กรุ๊ปเลือด AB ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ขณะนี้กำลังนำส่งโรงพยาบาล ทั้งนี้ คาดว่าหลังจากเหตุปะทะกันทางทหารกัมพูชาได้ล่าถอยและฝั่งทุ่นระเบิดไว้ก่อนออกนอกพื้นที่เขตประเทศไทย -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร” ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก บอกสื่อ “คิดถึงนะคะ”

สนามหลวง 12 ส.ค.- “แพทองธาร” ยิ้ม ปัดตอบกระแสข่าวชิงลาออก ก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน บอกสื่อฯ “คิดถึงนะคะ” ภายหลังนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมคู่สมรส ร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ และทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 12 ส.ค.2568 ณ ท้องสนามหลวง ทันทีที่พบผู้สื่อข่าว นางสาวแพทองธาร หันมาพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “คิดถึงนะ” ผู้สื่อข่าวจึงพยายามสอบถามเรื่องกระแสข่าวการลาออกจากตำแหน่ง ก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำตัดสิน คดีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งนางสาวแพทองธาร ยิ้มและไม่ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ หรือสุดท้ายจะอยู่ รวมถึงขอให้ยืนยันว่าจะลาออกหรือไม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ไม่ได้ตอบคำถาม และเดินทางขึ้นรถทันที.-315 -สำนักข่าวไทย