ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดียันไม่ได้ทำผิด ขอศาลยกฟ้อง

ศาลฎีกาฯ 1ส.ค.- “ยิ่งลักษณ์” วอนศาลพิพากษาตามข้อเท็จจริง  อย่าฟังการชี้นำของหัวหน้า คสช. เผยทนเจ็บปวดต่อสู้กับข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม  ยืนยันโครงการจำนำข้าวทำให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น ย้ำไม่ได้ทำผิดขอศาลยกฟ้อง เตรียมฟังคำพิพากษา 25 ส.ค.นี้ 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 และความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เวลาแถลงปิดคดีด้วยวาจาเป็นเวลา1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใน 6 ประเด็น คือ 1.ปฏิเสธละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อกล่าวหาของป.ป.ช.  2.นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ได้คำนึงถึงกำไรหรือขาดทุน  3. การบริหารจัดการ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและระเบียบทั้งหมด  4. นำหลักฐานที่เป็นผลสำรวจของสภาพัฒน์ ธกส. และสถาบันการศึกษา มายืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวได้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้นจริง 5. ยืนยันว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทันทีเมื่อที่ป.ป.ช.และสตง.แจ้งข้อพิรุธมา และ 6. ยืนยันว่าการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี  เป็นการทำงานของระดับผู้ปฏิบัติการ  ซึ่งมีคณะกรรมการรับผิดชอบเฉพาะโดยตรงอยู่แล้ว 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คดีนี้มีข้อพิรุธมากมายตั้งแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เร่งรัดในการชี้มูลความผิดโดยใช้เวลาไต่สวนเพียง 79 วันเริ่มต้นกล่าวหาด้วยพยานเอกสารเพียง 329 แผ่น ชี้มูลความผิดหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งเพียง 1 วัน และในชั้นก่อนที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี พบว่ามีรายงานข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดี แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดกลับยื่นฟ้องคดีทั้งที่ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐาน คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด อีกทั้งอัยการสูงสุดยังแถลงว่าจะฟ้องคดี ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะลงมติถอดถอนตนก่อนเพียง 1 ชั่วโมง ที่สนช.จะลงมติถอดถอนจึงถือเป็นการชี้นำหรือไม่

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังพบว่าในชั้นการฟ้องคดีและไต่สวนในศาล มีการฟ้องนอกสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่มีการสร้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลัง และความผิดของคำฟ้องที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของข้าว  และการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งขั้นตอนการรับจำนำและขั้นตอนการระบายข้าว ที่ไม่ปรากฏในรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. ซึ่งในชั้นการพิจารณาคดีอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ได้เพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่ และนำสำนวนพยานเอกสารอีกกว่า 60,000 แผ่น เรื่องการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มาอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน

ซึ่งโครงการ ระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ใช่อำนาจที่เกี่ยวข้องโดยตรงของนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็นการสร้างเรื่องและเพิ่มพยานหลักฐานใหม่โดยมิชอบในลักษณะเอาตัวของตนเอง ดำเนินคดีไว้ก่อน แล้วค่อยหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม  อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันยังใช้อำนาจออกคำสั่งทางปกครองให้ตนชดใช้ค่าเสียหายถึง  3 หมื่น 5 พันล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 โดยมิชอบ และยังใช้ ม.44 สั่งให้กรมบังคับคดียึดและถอนเงินในบัญชี เป็นการชี้นำให้เข้าใจว่าตนเองได้กระทำความผิด 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์ และพิสูจน์ได้ว่า มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจทุกระดับ เป็นการดำเนินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งมีผลผูกพันที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 ตาม มาตรา 75 มาตรา176 และมาตรา 178 และดำเนินการตามแผนบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนข้อกล่าวหาว่า ครม.กำหนดราคารับจำนำข้าวสูงกว่าราคาตลาด และขายในราคาต่ำกว่าราคารับจำนำนั้น  ไม่ใช่การกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชน หากยังมีความยากจน ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ก็มีนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวตามอำเภอใจ โดยที่ผ่านมาได้ตั้งคณะกรรมการ กขช.และคณะอนุกรรมการเฉพาะงานแต่ละด้าน 13 คณะ เพื่อบูรณาการการทำงาน ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการในการปฏิบัติ รวมถึงมีหน่วยงานหลักที่สำคัญที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวง กรม ซึ่งไม่เคยมีข้อท้วงติง หรือให้ยุติ หรือให้ระงับยับยั้งโครงการ อีกทั้งได้กำหนดแนวทางป้องกันการทุจริตและป้องกันความเสียหายตั้งแต่การประชุม กขช.ครั้งแรก 

“รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบร่วมกัน อย่าเข้าใจผิดว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มคนเดียว และใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ จึงต้องเรียนว่า แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงและส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานร่วมกันกับคณะกรรมการ กขช. ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามที่กฎหมายแต่ฝ่ายกำหนด ซึ่งตนไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่อาจกระทำการใดๆ ที่จะไปล้วงลูกสั่งการ หรือชี้นำในระดับปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด แม้กระทั่งผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็คงเข้าใจถึงข้อจำกัดนี้ จึงต้องการใช้อำนาจพิเศษ คือ มาตรา44 ในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การไม่ระงับยับยั้งโครงการ เพราะโครงการมีประโยชน์ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และโครงการมีความคุ้มค่าไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่เกินสมควรหรือเป็นปัญหาต่อหนี้สาธารณะไม่เสียวินัยการเงินการคลังของประเทศจนต้องระงับหรือยุติโครงการ ซึ่งคณะกรรมการ กขช. ได้รายงานตัวเลขฤดูกาลผลิต 2554/55 และ ฤดูกาลผลิต 2555 รวม 394,788 ล้านบาท  ซึ่งมากกว่าตัวเลข ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ อ้างว่าขาดทุนทางบัญชี 220,969 ล้านบาท ถึง 173,819 ล้านบาท สอดคล้องกับรายงานของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับชาวนามีความจำเป็นจนถึงปี 2558 นอกจากนี้ยังพบว่า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ พยานโจทก์ผู้ทำหน้าที่จัดทำรายงานปิดบัญชีฯ ยังยอมรับว่า ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวเงิน และ ผลประโยชน์ที่เป็นทางอ้อมไม่ใช่หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีแต่เป็นหน้าที่ของสภาพัฒน์ฯ  

ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช. และ สตง. มีหนังสือท้วงติงมายังรัฐบาล เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น ทั้ง2 หน่วยงาน ไม่มีภารกิจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะสั่งให้ฝ่ายบริหารยับยั้งการดำเนินนโยบายสาธารณะที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งป.ป.ช.และ สตง. ไม่ได้ศึกษาข้อมูล และยังใช้ข้อมูลจากการเสนอข่าว และข้อมูลจาก TDRI โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องอีกทั้งยังเสนอให้นำนโยบายประกันราคาข้าวมาดำเนินการซึ่งการนำนโยบายของฝ่ายค้านมาดำเนินการเป็นเรื่องที่ผิดรัฐธรรมนูญ 

อีกทั้งยังนำข้อเสนอของ ป.ป.ช.แจ้งต่อ ครม.และได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว และยังตั้งคณะกรรมการติดตามการรับจำนำข้าวและคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแล การรับจำนำข้าวระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พร้อมกำชับให้เข้มงวดป้องกันการลักลอบการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ และที่ประชุม ครม.ยังได้ปรับลดวงเงินรับจำนำข้าวเพื่อป้องกันความเสียหายในฤดูกาลผลิต 2556 /57 จากไม่จำกัดเป็นจำกัดวงเงินไม่เกินรายละ 500,000 บาท และ 350,000 บาท และลดราคารับจำนำจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 13,000บาท ยึดกรอบเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าตนใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช.

น.ส.ยิ่งลักษณ์  กล่าวว่า ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว เพราะการระบายข้าว เป็นงานในระดับปฏิบัติที่มีคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเป็นผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน ยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจี และเมื่อมีการตรวจสอบของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการระบายข้าว  จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจสอบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีเจตนาในการปกปิดข้อมูล 

“นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่พาณิชย์นโยบายที่คิดกำไรขาดทุนกับชาวนาผู้ยากไร้ ซึ่งตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตนมีบทบาทในฐานะผู้กำกับนโยบายไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ หากมีการกระทำที่ผิดขั้นตอนใดย่อมเป็นความรับผิด ของบุคคลนั้นนั้น โดยไม่เคยมีบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกับปฏิบัติ  รวมถึงยังต้องรับผิดทางแพ่ง 35,000 ล้านบาท ตามข้อสั่งการของหัวหน้า คสช. ว่าไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ปฎิบัติหน้าที่โดยชอบตามขอบเขตแห่งอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคยปล่อยปละละเลยสิ่งใดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนและได้ปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่เคยสมยอมให้บุคคลใดทุจริต ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงปิดคดีด้วยวาจาพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเครือและร่ำไห้ช่วงหนึ่ง ว่า “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะสามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้าง

สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการแถลงปิดคดีด้วยว่าจาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้แจ้งยกคำร้อง ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบ-ไม่ชอบ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ก็เป็นตามสิทธิของจำเลยตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 เป็นครั้งที่ 2   โดยชี้แจ้ง ว่า แม้หน้าที่การวินิจฉัยจะเป็นของศาลรัฐธรรมนูญแต่การพิจารณาส่งคำโต้แย้งเป็นหน้าที่หรืออำนาจของศาลยุติธรรม และไม่จำเป็นว่าทุกคำร้องศาลจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสมอไป  ดังนั้นการที่ศาลไม่ส่งคำโต้แย้งจึงไม่ถือว่าผิดระเบียบการ วิธีการพิจารณาของศาล จึงยกคำร้อง และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. .-สำนักข่าวไทย     

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พระขโมยรถยนต์โยมวันเข้าพรรษา

กาฬสินธุ์ 12 ก.ค.-วงการผ้าเหลืองไม่แผ่ว พระหนุ่มขโมยรถยนต์ญาติโยมที่มาทำบุญวันเข้าพรรษา ถูกตำรวจสกัดจับได้ทันควัน ตำรวจ สภ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ สกัดจับรถเก๋งสีดำคันบริเวณสี่แยกไฟแดง อ.สมเด็จ หลังรับแจ้งว่าพระสงฆ์หนุ่มแอบขโมยรถจากญาติโยมที่มาทำบุญในวันเข้าพรรษา แล้วขับหนีมาทาง อำเภอสมเด็จ ตำรวจจึงออกสกัดจับจนเจอ ส่วนพระสงฆ์ที่ก่อเหตุมีอาการพูดจาวกไปวนมา ตำรวจจึงนำตัวมาสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก และแจ้งให้เจ้าของรถมารับรถคืน เตรียมดำเนินคดีกับพระรูปนี้ต่อไป หลังสึกจากการเป็นพระ.-สำนักข่าวไทย

น้ำป่าทะลักท่วมแพร่ บ้านเรือนเสียหายหนัก

แพร่ 12 ก.ค.-ฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ จ.แพร่ น้ำป่าทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรช่วงกลางดึก เสียหาย 2 อำเภอ เกิดเหตุน้ำป่าไหลหลาก เข้าท่วมพื้นที่ชุมชนในตำบลแดนชุมพล จังหวัดแพร่ และอำเภอร้องกวางบางส่วน เนื่องจากมีฝนตกลงมาอย่างหนักในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้บ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ลุ่มและแนวทางน้ำธรรมชาติที่รับน้ำจากภูเขาและป่าใกล้เคียง ปริมาณน้ำที่หลากเข้ามาเกิดจากฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดช่วงคืนที่ผ่านมา ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านไม่ทันตั้งตัว ทรัพย์สินของประชาชนบางส่วนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะบ้านโทกค่า อำเภอสอง จังหวัดแพร่ หลายหลังคาเรือนได้รับผลกระทบเนื่องจาก ไม่เคยเกิดเหตุแบบนี้มาก่อน ปีนี้น้ำมากกว่าทุกปี ทำให้เก็บข้าวของไม่ทัน ได้รับความเสียหาย ครั้งสุดท้ายที่เคยท่วม ตั้งแต่ปี 2538 .-สำนักข่าวไทย

สองสาวใหญ่ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกมือถือ

กทม. 12 ก.ค. – สองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิพระอาพาธ ฉกโทรศัพท์มือถือลอยนวล พบเคยเข้ามาขอเงินหลวงตาแล้วครั้งหนึ่ง กล้องวงจรปิดบันทึกภาพขณะ ผู้หญิง 2 คนเข้าไปในกุฏิที่พระสงฆ์นอนอาพาธอยู่ คนหนึ่งนั่งพื้นส่วนอีกคนยืนอยู่แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนไป เหตุการณ์นี้ นายมนูญ อายุ 29 ปี หลานชายของพระลูกวัดแห่งหนึ่ง ในซอยประชาอุทิศ 27 ถนนประชาอุทิศ แขวงบางมด เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ ร้องเรียนกับผู้สื่อข่าว ให้ช่วยตามหาสองสาวใหญ่ ย่องเข้ากุฏิ “หลวงตาสุข” อายุ 80 ปี ซึ่งป่วยเป็นโรคประจำตัว ประกอบกับอายุมากเดินได้ไม่ปกติ โดยหลวงตาสุข เป็นพระลูกวัด พักอยู่กุฏิด้านหลังโบสถ์ เมื่อวานนี้ (11 ก.ค.) ประมาณ 13.45 น. ขณะกำลังนอนพักผ่อนอยู่ มีหญิงร่างท้วม 2 คนเข้าไปในกุฏิ จากนั้นคนใส่เอี๊ยมสีเขียวผมสั้นลงมือค้นหาสิ่งของบนหัวเตียง ส่วนอีกคนที่มาด้วย คอยดูต้นทาง จนกระทั่งหญิงคนที่รื้อหาสิ่งของมองเห็นโทรศัพท์มือถือ ราคาประมาณ 4,000 บาท ของพระที่วางไว้หัวเตียง […]

มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ปมมีชื่อพระโผล่คลิปสีกา ก.

กรุงเทพฯ 11 ก.ค. – เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ เผยกรณีปรากฏชื่อ “พระปริยัติธาดา” ในคลิปพัวพันสีกา ก. มองเป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร จากกรณีปรากฏรายชื่อพระในคลิปมีความสัมพันธ์กับ “สีกา ก.” จนถึงขั้นปาราชิก หนึ่งในนั้นคือ พระปริยัติธาดา ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และมีรายงานข่าวว่าท่านหายตัวจากวัดหลังจากตกเป็นข่าว ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังวัดกัลยาณมิตรฯ พบว่าพระของวัดทุกรูปลงโบสถ์เพื่อประกอบศาสนกิจเนื่องในวันเข้าพรรษา ภายในพระอุโบสถ ภายหลังประกอบศาสนกิจลงโบสถ์ของพระวัดกัลยาณมิตรฯ เสร็จสิ้น พระพรหมกวี เจ้าอาวาสวัดกัลยาณมิตรฯ ได้ถ่ายรูปกับพระใหม่และพระสงฆ์ในวัด และให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปถ่ายภาพ พร้อมกับพูดคุยเบื้องต้น กรณีปรากฏชื่อของพระปริยัติธาดา เป็นหนึ่งในบุคคลในคลิปที่เกี่ยวข้องกับสีกา ก. ว่าส่วนตัวไม่ทราบ คนเราไม่ได้รู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่น มองเป็นเรื่องธรรมชาติในสังคมที่มีทั้งคนดีและไม่ดี เรื่องนี้เป็นการกระทำส่วนบุคคล ส่วนตัวอยากเห็นคลิปเพื่อยืนยันว่าท่านเกี่ยวข้องอย่างไร และอยากถาม พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว เพื่อขอดูคลิปที่กล่าวอ้าง ถ้าภาพมันชัดเจนก็ต้องออกตามกฎ ซึ่งใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้น เมื่อถามว่า พระปริยัติธาดา ออกไปจากวัดตั้งแต่เมื่อไร พระพรหมกวี บอกว่า ท่านออกไปจากวัด 6-7 วันแล้ว ก็ออกไปเฉยๆ ไม่ได้สึกออกไป และไม่รู้ว่าตอนนี้สึกหรือยัง แต่หากจะสึกต้องแจ้งมาที่วัด […]

ข่าวแนะนำ

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิกพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ตาวัย 71 ปี ขับรถพุ่งชนรถพ่วงเสียชีวิต

สมุทรสงคราม 13 ก.ค.-ตาวัย 71 ปี ขับเก๋งพุ่งชนกลางลำรถพ่วงบรรทุกเสาเข็มขณะกำลังกลับรถ เสียชีวิตบนถนนสมุทรสงครามบางแพ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม กล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์ขณะรถพ่วงบรรทุกเสาเข็มกำลังกลับรถทำให้ตัวรถขวางถนน จังหวะนั้นรถเก๋ง ขับมาด้วยความเร็ว พุ่งชนเข้ากลางลำรถพ่วง เหตุเกิดบนถนนสมุทรสงครามบางแพ บริเวณจุดกลับรถหน้าโรงบรรจุแก๊สหุงต้ม ฝั่งขาเข้าแม่กลอง ม.9 ต.บางช้าง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ช่วงเวลา 19.18 น.วานนี้ (12 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อัมพวา รับแจ้ง จึงเข้าตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัย ที่เกิดเหตุพบนายชาญพินิต ส่งชัย อายุ 71 ปี ชาวกรุงเทพมหานคร คาดเข็มขัดนิรภัย นั่งหมดสติไม่รู้สึกตัวบนเบาะคนขับ เจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์ตัดถ่างประมาณ 5 นาที กว่าจะนำร่างนายชาญพินิต ออกมาและพยายามปั๊มหัวใจช่วยชีวิต แต่นายชาญพินิต เสียชีวิตแล้ว ใกล้กันพบรถพ่วง 22 ล้อ ลูกพ่วงไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จอดขวางถนนในลักษณะกำลังกลับรถ บริเวณล้อหลังรถพ่วงมี 3 เพลา รวม 12 ล้อ […]

เตรียมขอข้อมูลเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง

13 ก.ค. – ตำรวจเตรียมขอข้อมูลเส้นทางการเงิน 4 วัดดัง เข้าข่ายยักยอกเงินวัด โอนให้สีกา ก. หรือไม่ พบเจ้าอาวาสหนึ่งใน 4 วัด โอนกว่า 1 ล้านบาท ความคืบหน้าการตรวจสอบเส้นทางการเงินของสีกา ก. จากข้อมูลการสืบสวน ตำรวจเตรียมขอความร่วมมือเข้าตรวจสอบวัดที่พบว่ามีความเกี่ยวข้อง 4 วัด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด ได้แก่ วัดชูจิตธรรมาราม พระอารามหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา, วัดใหญ่จอมปราสาท จ.สมุทรสาคร, วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร และวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ขอตรวจสอบเส้นทางการเงินของพระชั้นผู้ใหญ่และบัญชีวัด เพื่อหาข้อเท็จจริงว่าเงินที่โอนให้สีกา ก. เป็นเงินส่วนตัวหรือเงินวัด หลังพบว่าพระบางรูปที่มีความสัมพันธ์กับสีกา ก. รวบอำนาจการบริหารจัดการเงินของวัดเพื่อให้ทำธุรกรรมได้สะดวก โดยเฉพาะเจ้าอาวาสวัดใหญ่จอมปราสาท พบเส้นทางการเงินโอนให้สีกา ก. 2 บัญชี เป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท ส่วนพระรูปอื่นๆ ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ ส่วนสีกา ก. จะมีเจตนาในการข่มขู่รีดไถเงินจากพระหรือไม่ ทางการสอบสวนยังไม่พบหลักฐานชัดเจนเพราะเป็นรสนิยมส่วนตัว โดยพุ่งเป้าเข้าหาพระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อมีความสัมพันธ์และนำเงินมาใช้ส่วนตัว […]