ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดียันไม่ได้ทำผิด ขอศาลยกฟ้อง

ศาลฎีกาฯ 1ส.ค.- “ยิ่งลักษณ์” วอนศาลพิพากษาตามข้อเท็จจริง  อย่าฟังการชี้นำของหัวหน้า คสช. เผยทนเจ็บปวดต่อสู้กับข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรม  ยืนยันโครงการจำนำข้าวทำให้คุณภาพชีวิตชาวนาดีขึ้น ย้ำไม่ได้ทำผิดขอศาลยกฟ้อง เตรียมฟังคำพิพากษา 25 ส.ค.นี้ 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ. ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 และความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท 

น.ส.ยิ่งลักษณ์ใช้เวลาแถลงปิดคดีด้วยวาจาเป็นเวลา1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาใน 6 ประเด็น คือ 1.ปฏิเสธละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อกล่าวหาของป.ป.ช.  2.นโยบายรับจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะ ที่ไม่ได้คำนึงถึงกำไรหรือขาดทุน  3. การบริหารจัดการ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมายและระเบียบทั้งหมด  4. นำหลักฐานที่เป็นผลสำรวจของสภาพัฒน์ ธกส. และสถาบันการศึกษา มายืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวได้ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนาให้ดีขึ้นจริง 5. ยืนยันว่าได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบทันทีเมื่อที่ป.ป.ช.และสตง.แจ้งข้อพิรุธมา และ 6. ยืนยันว่าการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี  เป็นการทำงานของระดับผู้ปฏิบัติการ  ซึ่งมีคณะกรรมการรับผิดชอบเฉพาะโดยตรงอยู่แล้ว 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คดีนี้มีข้อพิรุธมากมายตั้งแต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เร่งรัดในการชี้มูลความผิดโดยใช้เวลาไต่สวนเพียง 79 วันเริ่มต้นกล่าวหาด้วยพยานเอกสารเพียง 329 แผ่น ชี้มูลความผิดหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งเพียง 1 วัน และในชั้นก่อนที่อัยการสูงสุดจะฟ้องคดี พบว่ามีรายงานข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดี แต่สุดท้ายอัยการสูงสุดกลับยื่นฟ้องคดีทั้งที่ไม่มีการรวบรวมพยานหลักฐาน คณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.กับอัยการสูงสุด อีกทั้งอัยการสูงสุดยังแถลงว่าจะฟ้องคดี ก่อนที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จะลงมติถอดถอนตนก่อนเพียง 1 ชั่วโมง ที่สนช.จะลงมติถอดถอนจึงถือเป็นการชี้นำหรือไม่

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังพบว่าในชั้นการฟ้องคดีและไต่สวนในศาล มีการฟ้องนอกสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ที่มีการสร้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมภายหลัง และความผิดของคำฟ้องที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของข้าว  และการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งขั้นตอนการรับจำนำและขั้นตอนการระบายข้าว ที่ไม่ปรากฏในรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป.ป.ช. ซึ่งในชั้นการพิจารณาคดีอัยการสูงสุดในฐานะโจทก์ได้เพิ่มเติมพยานหลักฐานใหม่ และนำสำนวนพยานเอกสารอีกกว่า 60,000 แผ่น เรื่องการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มาอ้างว่าเป็นพยานหลักฐานในคดีเดียวกัน

ซึ่งโครงการ ระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐไม่ใช่อำนาจที่เกี่ยวข้องโดยตรงของนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็นการสร้างเรื่องและเพิ่มพยานหลักฐานใหม่โดยมิชอบในลักษณะเอาตัวของตนเอง ดำเนินคดีไว้ก่อน แล้วค่อยหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม  อีกทั้งรัฐบาลปัจจุบันยังใช้อำนาจออกคำสั่งทางปกครองให้ตนชดใช้ค่าเสียหายถึง  3 หมื่น 5 พันล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ 2539 โดยมิชอบ และยังใช้ ม.44 สั่งให้กรมบังคับคดียึดและถอนเงินในบัญชี เป็นการชี้นำให้เข้าใจว่าตนเองได้กระทำความผิด 


น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นประโยชน์ และพิสูจน์ได้ว่า มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจทุกระดับ เป็นการดำเนินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งมีผลผูกพันที่ต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 2550 ตาม มาตรา 75 มาตรา176 และมาตรา 178 และดำเนินการตามแผนบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนข้อกล่าวหาว่า ครม.กำหนดราคารับจำนำข้าวสูงกว่าราคาตลาด และขายในราคาต่ำกว่าราคารับจำนำนั้น  ไม่ใช่การกำหนดนโยบายที่ผิดพลาด แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชน หากยังมีความยากจน ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ก็มีนโยบายหรือมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย  

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ได้เพิกเฉย ละเลย และไม่มีอำนาจระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวตามอำเภอใจ โดยที่ผ่านมาได้ตั้งคณะกรรมการ กขช.และคณะอนุกรรมการเฉพาะงานแต่ละด้าน 13 คณะ เพื่อบูรณาการการทำงาน ร่วมกำหนดหลักเกณฑ์ มาตรการในการปฏิบัติ รวมถึงมีหน่วยงานหลักที่สำคัญที่มีหน้าที่รับผิดชอบ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวง กรม ซึ่งไม่เคยมีข้อท้วงติง หรือให้ยุติ หรือให้ระงับยับยั้งโครงการ อีกทั้งได้กำหนดแนวทางป้องกันการทุจริตและป้องกันความเสียหายตั้งแต่การประชุม กขช.ครั้งแรก 

“รัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะรัฐมนตรีมีความรับผิดชอบร่วมกัน อย่าเข้าใจผิดว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มคนเดียว และใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ จึงต้องเรียนว่า แม้จะเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงและส่วนราชการ ต้องปฏิบัติงานร่วมกันกับคณะกรรมการ กขช. ซึ่งมีหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามที่กฎหมายแต่ฝ่ายกำหนด ซึ่งตนไม่สามารถใช้อำนาจตามอำเภอใจ และไม่อาจกระทำการใดๆ ที่จะไปล้วงลูกสั่งการ หรือชี้นำในระดับปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของผู้หนึ่งผู้ใด แม้กระทั่งผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จอย่างนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ก็คงเข้าใจถึงข้อจำกัดนี้ จึงต้องการใช้อำนาจพิเศษ คือ มาตรา44 ในการสั่งการบริหารราชการแผ่นดินที่รัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำได้ ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การไม่ระงับยับยั้งโครงการ เพราะโครงการมีประโยชน์ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย และโครงการมีความคุ้มค่าไม่เป็นภาระต่องบประมาณที่เกินสมควรหรือเป็นปัญหาต่อหนี้สาธารณะไม่เสียวินัยการเงินการคลังของประเทศจนต้องระงับหรือยุติโครงการ ซึ่งคณะกรรมการ กขช. ได้รายงานตัวเลขฤดูกาลผลิต 2554/55 และ ฤดูกาลผลิต 2555 รวม 394,788 ล้านบาท  ซึ่งมากกว่าตัวเลข ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ อ้างว่าขาดทุนทางบัญชี 220,969 ล้านบาท ถึง 173,819 ล้านบาท สอดคล้องกับรายงานของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการ การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่าโครงการรับจำนำข้าวสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับชาวนามีความจำเป็นจนถึงปี 2558 นอกจากนี้ยังพบว่า น.ส.สุภา ปิยะจิตติ พยานโจทก์ผู้ทำหน้าที่จัดทำรายงานปิดบัญชีฯ ยังยอมรับว่า ผลประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจที่ไม่เป็นตัวเงิน และ ผลประโยชน์ที่เป็นทางอ้อมไม่ใช่หน้าที่ของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีแต่เป็นหน้าที่ของสภาพัฒน์ฯ  

ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช. และ สตง. มีหนังสือท้วงติงมายังรัฐบาล เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวนั้น ทั้ง2 หน่วยงาน ไม่มีภารกิจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะสั่งให้ฝ่ายบริหารยับยั้งการดำเนินนโยบายสาธารณะที่แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งป.ป.ช.และ สตง. ไม่ได้ศึกษาข้อมูล และยังใช้ข้อมูลจากการเสนอข่าว และข้อมูลจาก TDRI โดยไม่มีการตรวจสอบความถูกต้องอีกทั้งยังเสนอให้นำนโยบายประกันราคาข้าวมาดำเนินการซึ่งการนำนโยบายของฝ่ายค้านมาดำเนินการเป็นเรื่องที่ผิดรัฐธรรมนูญ 

อีกทั้งยังนำข้อเสนอของ ป.ป.ช.แจ้งต่อ ครม.และได้ตั้งคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในการรับจำนำข้าว และยังตั้งคณะกรรมการติดตามการรับจำนำข้าวและคณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแล การรับจำนำข้าวระดับจังหวัด ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน พร้อมกำชับให้เข้มงวดป้องกันการลักลอบการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ และที่ประชุม ครม.ยังได้ปรับลดวงเงินรับจำนำข้าวเพื่อป้องกันความเสียหายในฤดูกาลผลิต 2556 /57 จากไม่จำกัดเป็นจำกัดวงเงินไม่เกินรายละ 500,000 บาท และ 350,000 บาท และลดราคารับจำนำจากตันละ 15,000 บาท เหลือ 13,000บาท ยึดกรอบเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 500,000 ล้านบาท ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าตนใช้อำนาจอย่างระมัดระวัง ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือความผิดตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช.

น.ส.ยิ่งลักษณ์  กล่าวว่า ไม่ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในการระบายข้าว เพราะการระบายข้าว เป็นงานในระดับปฏิบัติที่มีคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเป็นผู้รับผิดชอบเป็นการเฉพาะ ซึ่งนายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน ยืนยันว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริตในการระบายข้าวแบบจีทูจี และเมื่อมีการตรวจสอบของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับการระบายข้าว  จึงได้ทำการปรับเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อประโยชน์ต่อการตรวจสอบ แสดงให้เห็นว่าไม่มีเจตนาในการปกปิดข้อมูล 

“นโยบายจำนำข้าวเป็นนโยบายสาธารณะที่มุ่งช่วยเหลือชาวนา ไม่ใช่พาณิชย์นโยบายที่คิดกำไรขาดทุนกับชาวนาผู้ยากไร้ ซึ่งตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ตนมีบทบาทในฐานะผู้กำกับนโยบายไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ หากมีการกระทำที่ผิดขั้นตอนใดย่อมเป็นความรับผิด ของบุคคลนั้นนั้น โดยไม่เคยมีบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกับปฏิบัติ  รวมถึงยังต้องรับผิดทางแพ่ง 35,000 ล้านบาท ตามข้อสั่งการของหัวหน้า คสช. ว่าไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ปฎิบัติหน้าที่โดยชอบตามขอบเขตแห่งอำนาจที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ไม่เคยปล่อยปละละเลยสิ่งใดที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชนและได้ปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริต ไม่เคยสมยอมให้บุคคลใดทุจริต ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงปิดคดีด้วยวาจาพร้อมน้ำเสียงที่สั่นเครือและร่ำไห้ช่วงหนึ่ง ว่า “ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด แต่สิ่งที่ดิฉันทำ คือ การใช้ประสบการณ์ของผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่เกิดในต่างจังหวัด มีโอกาสได้รับรู้ สัมผัสความทุกข์ยากแสนสาหัสของชาวไร่ชาวนา ซึ่งประเทศนี้เคยเรียกพวกเขาว่า เป็นกระดูกสันหลังของชาติ และเรียกร้องให้คนไทยทุกคน เกื้อหนุนดูแล และดิฉันก็ได้ทำแล้วในโครงการรับจำนำข้าว เป็นผลพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมแล้วว่า ในช่วงที่มีโครงการรับจำนำข้าว ชาวนามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานมีโอกาสเรียนต่อ นับเป็นความภูมิใจในชีวิต ที่ครั้งหนึ่ง ดิฉันได้มีโอกาสผลักดันนโยบายนี้ ให้กับชาวนา แม้การผลักดันนโยบายสาธารณะ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชาวนาครั้งนี้จะทำให้ดิฉันต้องเจ็บปวดก็ตาม ในการที่จะต้องอดทนต่อสู้คดีกับฝ่ายโจทก์ ที่พยายามบิดเบือน และกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ดิฉันก็จะอดทนมุ่งมั่นต่อไป เพื่อหวังว่ารัฐบาลต่อไปในอนาคต จะสามารถนำนโยบายสาธารณะมาสู่ประชาชนพี่น้องเราจะได้ปลดหนี้สิน จะได้มีโอกาสลืมตาอ้าปาก มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกับเขาบ้าง

สุดท้ายนี้ ดิฉันเห็นว่าก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีนี้ ดิฉันใคร่ขอวิงวอนศาลได้โปรดพิจารณา พิพากษาคดีนี้ตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบและโดยสุจริต ไม่รับฟังการชี้นำจากฝ่ายใด ๆ แม้แต่หัวหน้า คสช. ผู้กุมชะตาและอำนาจรัฐ ที่พูดชี้นำคนในสังคมเกี่ยวกับคดีของดิฉัน เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ถ้าเรื่องนี้ไม่ผิดแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้อย่างไร ซึ่งคำพูดนี้ เป็นการชี้นำ เสมือนหนึ่งว่า มีการกระทำความผิดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ศาลที่เคารพ ยังไม่ได้ตัดสิน ดิฉันเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “ศาลเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน” ดิฉันจึงขอความเมตตาต่อศาล ได้โปรดพิจารณาพิพากษายกฟ้องโจทก์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการแถลงปิดคดีด้วยว่าจาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้แจ้งยกคำร้อง ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบ-ไม่ชอบ กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ก็เป็นตามสิทธิของจำเลยตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 เป็นครั้งที่ 2   โดยชี้แจ้ง ว่า แม้หน้าที่การวินิจฉัยจะเป็นของศาลรัฐธรรมนูญแต่การพิจารณาส่งคำโต้แย้งเป็นหน้าที่หรืออำนาจของศาลยุติธรรม และไม่จำเป็นว่าทุกคำร้องศาลจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสมอไป  ดังนั้นการที่ศาลไม่ส่งคำโต้แย้งจึงไม่ถือว่าผิดระเบียบการ วิธีการพิจารณาของศาล จึงยกคำร้อง และนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. .-สำนักข่าวไทย     

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน

กัมพูชา 15 มิ.ย.- ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ประชุมครั้งต่อไปเดือน ก.ย.นี้ ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) และลงนามบันทึกการประชุมร่วมกัน ที่กรุงพนมเปญ การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้ ปัจจุบัน ไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่ (1) JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ (2) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป […]

กัมพูชายืนยันไม่รับแผนที่ 1 : 50,000

15 มิ.ย. – กัมพูชาแถลงปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 50,000 อย่างเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 เท่านั้น พร้อมยินดีร่วมมือกับไทยด้วยกลไกทวิภาคี ยกเว้น 4 จุดที่นำขึ้นศาลโลก เว็บไซต์ข่าว Khmer Times รายงานภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ว่า ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะรับรองแผนที่ที่ฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำใช้อ้างอิงอันเป็นที่มาหลักของปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไม่สิ้นสุดนั้นคือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ Khmer Times อ้างตามเอกสารข่าวเผยแพร่จากสำนักเลขาธิการกิจการชายแดนเกี่ยวกับการประชุม JBC ที่จัดขึ้นระหว่างฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดนและประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย และประธาน JBC ฝ่ายไทย […]

“ลูกหมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย

สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ 13 มิ.ย. – “ลูกหมี รัศมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้ 2 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ด้าน “ทนายเดชา” เผยหาก 30 วัน ไม่ใช้หนี้ เตรียมยื่นเรื่องยึดทรัพย์-ฟ้องล้มละลาย นางสาวรัศมี ทองสิริไพรศรี หรือลูกหมี นางแบบชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา และนางสาวอำนวยพร มณีวรรณ์ หรือทนายกุ้ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีลูกหนี้ ซึ่งเป็นอดีตดารานักแสดงชื่อดัง ได้ทำการกู้ยืมเงิน พร้อมจ่ายเช็คเด้ง จำนวน 2 ล้านบาท โดยไม่ยอมชำระคืนตามที่ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ ทนายเดชา กล่าวว่า คดีนี้คุณลูกหมีฟ้องลูกหนี้ในความผิดเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืมเงิน โดยเงินต้นจำนวน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาว่า สัญญากู้เงินต้น 2 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด […]

อิสราเอลและอิหร่านโจมตีตอบโต้กันในระลอกใหม่

เทลอาวีฟ 15 มิ.ย. – อิสราเอลและอิหร่านได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้กันอีกครั้งในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน ซึ่งจุดชนวนความกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้น หลังจากที่อิสราเอลได้ขยายการโจมตีอิหร่าน ด้วยการโจมตีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจานิวเคลียร์ที่สหรัฐเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการทิ้งระเบิดของอิสราเอลได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังถือว่าไม่มีอะไรที่จะเทียบเคียงกับสิ่งที่อิหร่านจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การโจมตีของอิหร่านล่าสุดเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังเวลา 23:00 น. ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกัล 03.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย เมื่อเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นในนครเยรูซาเลมและเมืองไฮฟา ทำให้ผู้คนราวหนึ่งล้านคนต้องรีบเข้าไปในสถานที่หลบภัย หน่วยบริการพยาบาลกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คนตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งมีเด็กวัย 10 ขวบและหญิงสาววัยราว ๆ  20 ปีรวมอยู่ด้วย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 140 คนจากการโจมตีที่เกิดขึ้นหลายครั้ง สื่ออิสราเอลรายงานว่ามีผู้สูญหายอย่างน้อย 35 คน หลังจากที่ขีปนาวุธพุ่งเป้าไปที่เมืองบัตยัม ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของกรุงเทลอาวีฟ โฆษกหน่วยบริการฉุกเฉินกล่าวว่าขีปนาวุธลูกหนึ่งพุ่งชนอาคาร 8 ชั้นในเมืองนั้น และในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็มีผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน ขณะนี้่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีอาคารกี่หลังที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ จนถึงขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอลล่าสุดอยู่ที่อย่างน้อย 9 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย นับตั้งแต่อิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

พยาบาลเกษียณร้องไซเบอร์ ถูกโรแมนซ์สแกม สูญ 12 ล้าน

16 มิ.ย. – พยาบาลเกษียณ วัย 65 ปี ร้องตำรวจไซเบอร์ ถูกหลอกสร้างความสัมพันธ์เชิงชู้สาว หรือโรแมนซ์สแกม ชวนลงทุนคริปโต สูญเงิน 12 ล้าน นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาพยาบาลเกษียณอายุราชการวัย 65 ปี ผู้เสียหาย ถูกมิจฉาชีพหลอกหลอกให้รัก (Romance Scam) และชักชวนให้ลงทุนในระบบคริปโตผ่านแพลตฟอร์มเทรดปลอม สูญเงินเกือบ 12 ล้านบาท เข้าร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์ โดยมี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 รับเรื่อง นางสาวอ้อ อายุ 65 ปี อดีตพยาบาลผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 มิจฉาชีพหรือ นางสาวพร (นามสมมติ) ทักข้อความมาหาตนผ่านแอพ TikTok และชวนพูดคุยในลักษณะเชิงชู้สาว และต้องการหาคู่ชีวิต และชวนคุยเรื่องส่วนตัวจนเตนเชื่อใจ จนผ่านไป 2 […]

“ประศาสน์” ยันไม่เคยรับรองแผนที่ 1 : 200000

ก.ต่างประเทศ 16 มิ.ย.-“ประศาสน์” ยันไม่เคยรับรองแผนที่ 1 : 200000 แฉ “กัมพูชา” ถูกสั่งห้ามคุยปม 4 พื้นที่พิพาทในวง JBC แต่เสียดาย ไม่มีในบันทึกการประชุม เพราะหารือในวงเล็ก ยัน JBC รอบนี้ราบรื่นที่สุด บอกแต่ก่อนทะเลาะกันเยอะกว่านี้ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC แถลงชี้แจงผลการประชุม JBC ว่า ตนเข้าร่วมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว จากระดับเจ้าหน้าที่ และครั้งนี้ไปประชุมในฐานะประธาน ถือว่าราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยประชุมมา แต่ก่อนทะเลาะกันแรงกว่านี้เยอะ และครั้งนี้ ประสบความสำเร็จทางด้านเทคนิค พร้อมอธิบายภารกิจของ คณะกรรมการ JBC ว่า ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการตรวจหาหลักเขตที่ปักปันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปี 2462-2463 ซึ่งมีการปักหลักเขตไปแล้ว 73 หลัก ตอนนี้เห็นชอบไปแล้ว 45 หลัก อีก […]

นายกฯ เผย กต.เรียกประชุมทูตต่างประเทศ ลั่นไทยเคารพกรอบทวิภาคี

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – นายกฯ เผย กต. เรียกประชุมทูตต่างประเทศ ทำความเข้าใจกรณีไทย-กัมพูชา ย้ำไทยให้เกียรติการพูดคุยทวิภาคี ลั่นการเคลื่อนไหวนอกเหนือจากการเจรจาถือเป็นท่าทีที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ประกาศกร้าว จะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย ข่มขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ ก.ต่างประเทศ เรียกประชุมทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยให้ได้รับทราบ ถ้าไม่เคารพกติกา ทั่วโลกก็จะไม่ยอมรับ ยอมรับไทยมีการสื่อสารที่เป็นสาธารณะน้อยมาก เพราะให้เกียรติการพูดคุยทวิภาคี ทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องยึดตามกรอบการเจรจาทวิภาคี การเคลื่อนไหวที่นอกเหนือจากการเจรจาถือว่าเป็นท่าทีที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ นอกจากนี้ระหว่างความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับกองทัพ มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ว่าท่าทีของไทยจะเป็นอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เพื่อรักษาอธิปไตยของไทย และยืนยันว่าไม่มีปัญหากันแน่นอน.-สำนักข่าวไทย

Hun Sen delivers speech in Cambodia's Senate

“ฮุน เซน” ขู่ให้ไทยเปิดด่านทั้งหมดภายในวันนี้

พนมเปญ 16 มิ.ย.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชาประกาศว่า ไทยต้องเปิดจุดผ่านแดนกับกัมพูชาทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกัมพูชาจะปิดจุดผ่านแดนกับไทยทั้งหมด และห้ามสินค้าไทยทุกอย่างเข้ากัมพูชา เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายฮุน เซนยื่นคำขาดระหว่างกล่าวสุนทรพจน์พิเศษก่อนการประชุมวุฒิสภาในเช้าวันนี้ว่า เดิมกัมพูชาจะปิดจุดผ่านแดนกับไทยทั้งหมดในวันนี้ แต่รัฐบาลได้เลื่อนการตัดสินใจออกไป หลังจากที่เขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ชินวัตรของไทย หากไทยไม่เปิดจุดผ่านแดนกับกัมพูชาทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป กัมพูชาจะห้ามผักและผลไม้ผ่านจุดผ่านแดนทั้งหมดของกัมพูชา นอกจากนี้กัมพูชาจะยกเลิกมาตรการจำกัดการผ่านแดนกับไทยที่ใช้อยู่ในขณะนี้ หากทางการไทยกลับมาเปิดจุดผ่านแดนตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.ตามเดิม นายฮุน เซนประกาศชัดเจนว่า ทางการกัมพูชาจะไม่มีวันนั่งโต๊ะเจรจากับทางการไทยเรื่องการจำกัดการผ่านแดน เนื่องจากไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยได้ตั้งคำถามว่า กองทัพไทยเป็นฝ่ายจำกัดการผ่านแดน และเมื่อกัมพูชาทำเช่นเดียวกัน ก็ต้องการเจรจาเพื่อรักษาหน้าเช่นนั้นหรือ พร้อมกับสำทับว่า กัมพูชาจะไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะความผิดพลาดของคนอื่น.-814.-สำนักข่าวไทย