กรุงเทพฯ 22 มิ.ย. – ปัญหาพื้นที่สัมปทานผลิตปิโตรเลียมยังไม่พ้นวิบากกรรม หลัง คสช.ใช้มาตรา 44 ปลดล็อคที่ดิน ส.ป.ก.แล้ว ยังติดปัญหาพื้นที่กรมเจ้าท่าและผังเมืองใหม่ที่หลายจุดประกาศเป็นพื้นที่สีเขียว กรมเชื้อเพลิงฯ เร่งเจรจาแก้ไขแบบบูรณาการ ด้าน 2 กม.ปิโตรเลียมประกาศใช้แล้วคาดประมูลคัดเลือก 2 แหล่งสัมปทานเก่าตามแผน ก.พ.61
นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่วว่า ขณะนี้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติรอประกาศ คสช.อย่างเป็นทางการที่จะใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยให้อำนาจแก่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในการพิจารณาอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หากออกมาแล้ว ทางกรมฯ จะทำหนังสือถึงผู้ประกอบการทั้ง 7 ราย ที่หยุดดำเนินการในพื้นที่ ส.ป.ก.ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน2560 ให้กลับมาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมได้ อย่างไรก็ตาม คงจะกลับมาผลิตได้เต็มที่เท่าเดิมต้องใช้เวลาอีก 1 เดือน ดังนั้น หากคำนวณแล้วผลกระทบจากการหยุดผลิต คิดเป็นมูลค่าการจำหน่ายของเอกชนจะอยู่กว่า 1,000 ล้านบาท ค่าภาคหลวงกระทบ 125 ล้านบาท และคิดเป็นในส่วนที่องค์กรส่วนท้องถิ่น เช่น อบต.ได้รายได้จากค่าภาคหลวงร้อยละ 60 คิดเป็นรายได้สูญเสียประมาณ 75 ล้านบาท
ส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรและชุมชนนั้น ทางองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นได้เงินจากส่วนนี้ ขณะเดียวกันบริษัทผู้รับสัมปทานยังมีการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ในพื้นที่ที่มีการดำเนินสำรวจและผลิตปิโตรเลียม เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ สร้างรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนอีกด้วย เช่น การนำก๊าซธรรมชาติที่จำเป็นต้องเผาทิ้งบางส่วนมาใช้แทนก๊าซหุงต้มในการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรของท้องถิ่น
ทั้งนี้ การหยุดผลิตดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณปิโตรเลียมที่ผลิตได้ในประเทศ น้ำมันดิบลดลง 16,000 บาร์เรล/วัน ก๊าซธรรมชาติลดลง 110 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ก๊าซธรรมชาติเหลวลดลง 100 บาร์เรล/วัน
นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า ตามหลักการที่รัฐบาลระบุเบื้องต้นในการแก้ไขปัญหานั้น คือ ให้ ส.ป.ก.ไปกำหนด หากมีการใช้พื้นที่ ส.ป.ก.ที่เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมาดำเนินการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมต้องพิจารณาถึงประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับนอกเหนือไปจากการทำเกษตรกรรมเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะการชดเชยโดยตรงให้กับเกษตรกรผู้ถือครองสิทธิ์ในพื้นที่นั้น ๆ และหากมีการนำผลประโยชน์ที่ได้ส่งเข้ากองทุนเพื่อเกษตรกรตามข้อเสนอของ ส.ป.ก. ดังนั้น คงต้องรอ ส.ป.ก.ว่าจะกำหนดอัตราจัดเก็บเข้ากองทุนเท่าใด โดยก่อนหน้านี้ ส.ป.ก.มีการหารือกับผู้ประกอบการจะจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของราคาที่กรมธนารักษ์ประเมินไว้
“ตามที่ ส.ป.ก.ระบุว่าจะเก็บเงินชดเชยจาก บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม ในแหล่งเอส 1 ในการใช้พื้นที่ ส.ป.ก.ตั้งแต่ปี 2524 อัตราร้อยละ 20 ของเงินประเมินกรมธนารักษ์ เป็นเงิน 20 ล้านบาทนั้น เป็นการหารือกันในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น อัตราใหม่จะเป็นอย่างไร ก็รอ ส.ป.ก.กำหนด โดยจะเป็นอัตราที่ใช้สำหรับทุกราย รวมถึงการประกาศให้เอกชนเข้ามาแข่งขันยื่นเสนอสำรวจและผลิตปิโตรเลียมรอบใหม่รอบที่ 21 ด้วย” นายวีระศักดิ์ กล่าว
อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวถึงทิศทางการดำเนินงานของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ว่า กรมฯ มีแผนจะดำเนินการอย่างบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ เช่น กรมป่าไม้ กรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมเจ้าท่า เป็นต้น เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการปิโตรเลียมเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงานและลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะตามประกาศใหม่ล้วนกระทบต่อพื้นที่ปิโตรเลียม เช่น กรณีจังหวัดเพชรบูรณ์ผังเมืองใหม่เป็นพื้นที่สีเขียวประมาณร้อยละ 90 ดังนั้น ต้องขอผ่อนผัน เพื่อไม่ให้กระทบกับกำลังผลิตปิโตรเลียมอีก
ด้านเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงพลังงานวันนี้ (22 มิ.ย. ) เรื่องพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/065/32.PDF และพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2560 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/065/42.P
อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า เป็นเรื่องดีที่ 2 กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้ว หลังจากนี้ กระทรวงพลังงานจะทยอยนำกฎหมายลูก 6 ฉบับ ทั้งระบบแบ่งปันผลผลิต (พีเอสซี) และระบบสัญญาจ้างบริการ (เอสซี ) รวมทั้งเงื่อนไขการเปิดทีโออาร์คัดเลือกผู้ประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุปี 2565-2566 คือ แหล่งเอราวัณและแหล่งบงกชเข้าสู่ที่ประชุม ครม.และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากได้รับความเห็นชอบก็จะประกาศทีโออาร์ทันที โดยทุกอย่างยังเป็นไปตามกรอบเวลาที่ พล.อ.อนันตรพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน กำหนด คือ เปิดทีโออาร์ได้ภายในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมและคัดเลือกผู้ชนะประมูลได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2561. -สำนักข่าวไทย