นับหนึ่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง-ชมพู คาดเปิดใช้ได้ปี 2563

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – รองนายกฯเป็นประธานการลงนามโครงการรถไฟฟ้สายสีเหลือง-ชมพู โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดใช้ได้ในปี 2563 


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในโอกาสเป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระหว่างรฟม.กับกลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ โดยระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายเร่งรัด ผลักดัน โครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ให้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเดินทาง ลดปัญหาการจราจร ขยายความเจริญจากกรุงเทพมหานครสู่ปริมณฑล

สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองฯ ล้วนเป็นโครงการภายใต้นโยบาย PPP Fast Track ของรัฐบาล ที่เปิดโอกาสให้เอกชนได้เข้าร่วมลงทุนในโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่ต่างๆ ร่วมกับภาครัฐ เพื่อลดภาระด้านงบประมาณและหนี้สาธารณะของประเทศ


นายสมคิด กล่าวว่า การลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ในวันนี้ เป็นอีกจุดเริ่มต้นหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้โครงข่ายการคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานครมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนและผลักดันอย่างเต็มที่ เพื่อให้การดำเนินงานประสบผลสำเร็จและเกิดเป็นรูปธรรมได้โดยเร็วและตามแผนงาน และเพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง สามารถเปิดให้บริการแก่ประชาชนได้ในปี 2563 

นายสมคิด ย้ำเพิ่มเติมว่าไทยเป็นศูนย์กลางหลายกลุ่มประเทศ  เมื่อหัวหน้า คสช.ออก ม.44 แก้ปัญหารถไฟฟ้าไทย-จีน ร่างสัญญาช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เตรียมเดินหน้าขยายถึงหนองคาย เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคการขนส่งและเศรษฐกิจรอบเส้นทางรถไฟฟ้าเติบโตสูงขึ้น และหลังจากเริ่มก่อสร้างรถไฟสีเหลืองและชมพูแล้ว เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาอีก 3 เส้นทาง ได้แก่ สายม่วงใต้ สายส้มฝั่งตะวันตก และสีแดง ช่วงสามเสน-หัวลำโพง นอกจากนี้  จะเร่งการสร้างรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง ได้ข้อสรุปเดือนสิงหาคมด้วยเงินลงทุน 80,000 ล้านบาท รวมถึงรถไฟฟ้ากรุงเทพฯ-ระยอง และการเชื่อมต่อรถไฟไปท่าเรือเขตอีอีซี ทำให้ 2 ปีข้างหน้าเงินลงทุนผ่านระบบราง 2.4 ล้านล้านบาท ออกสู่ระบบ โดยรัฐบาลจะให้ลงนามเส้นทางที่กล่าวมาภายในปีนี้ เพื่อเริ่มก่อสร้างปี 2561 ดังนั้น จากนี้ไปไทยจะก้าวสู่ยุค 4.0 ดึงความเชื่อมั่นจากต่างชาติ เพื่อเดินหน้าเชื่อมโยงการเดินทางจากจีนผ่านลาว ไทยไปยังมาเลเซีย ยืนยันว่า ม.44 ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้กับจีน แต่เป็นการร่วมลงทุนและสร้างประโยชน์ระหว่างประเทศ เนื่องจากการขนส่ง 29 ประเทศของทุกกลุ่มประเทศจะมุ่งผ่านไทยไปยังประเทศต่าง ๆ 

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า หลังจากลงนามสัญญาภายใน 120 วัน ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา จากนั้นในวรรคท้ายของประกาศ ม.44 ระบุให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเสนอ คสช. เพื่อขยายก่อสร้างไปยังหนองคาย ขณะที่สภาวิศวกรพร้อมให้ความร่วมมือจีนทดสอบรถไฟฟ้า และยืนยันว่า รถไฟไทย-จีนสามารถลงนามตามข้อกำหนด  ส่วนการกู้เงินจะเน้นกู้สำหรับนำเข้าอุปกรณ์หัวรถจักรบางส่วน โดยส่วนใหญ่จะระดมทุนในประเทศเป็นหลัก เมื่อสัญญาก่อสร้างเส้นที่ 1 จำนวน 3.1 กม. เริ่มจะเริ่มสัญญาที่ 2 จำนวน 11 กม. สัญญา 3 จำนวน 300 กม. และ 119 กม. คาดว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามเป้าหมายกำหนดไว้


โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ระยะทาง 30.4 กม. เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Monorail) จำนวน 23 สถานี เชื่อมโครงข่ายขนส่งด้านตะวันออกของกรุงเทพ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง  จุดเริ่มต้น รัชดา – ลาดพร้าว ผ่าน – บางกะปิ – แยกลำสาลี – พัฒนาการ – ลาซาล สิ้นสุดสถานี สำโรง สมุทรปราการ

ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู (ช่วงแคราย-มีนบุรี) ระยะทาง 36 กม.  จำนวน 30 สถานีใช้ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (monorail)   เชื่อมพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มโครงการที่ศูนย์ราชการนนทบุรี ผ่านแคราย ปากเกร็ด เมืองทองธานี หลักสี่ รามอินทรา มาสิ้นสุดที่มีนบุรี จุดเชื่อมต่อสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี สามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางใหญ่ – บางซื่อ)  และเชื่อมสายสีส้มที่สถานีปลายทางมีนบุรี ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี 3 เดือน สร้างเสร็จในปี 2563 ด้วยเงินลงทุนกว่าแสนล้านบาท

นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด  ( มหาชน ) กล่าวว่า จะเร่งรัดการดำเนิน 2 โครงการนี้ให้เสร็จเร็วกว่าแผนงานเดิมที่จะสร้างเสร็จใน 39 เดือน โดยจะให้เสร็จประมาณต้นปี 2563 วงเงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 100,000 ล้านบาท จะเป็นส่วนของทุนประมาณ 28,000 ล้านบาทที่เหลือทางธนาคารกรุงเทพจะเป็นแกนนำในการจัดหาเงินกู้  

นอกจากนี้ เพื่อให้เส้นทางสมบูรณ์ทางกลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์เสนอเพิ่มก่อสร้างส่วนขยายสายสีชมพูจากสถานีศรีรัชเข้าไปเมืองทองธานี ระยะทาง 2.8 กม. และส่วนต่อขยายเชื่อมโครงการสายสีเขียวที่ถนนพหลโยธิน บริเวณใกล้สี่แยกรัชโยธิน ระยะทาง 2.6 กม. ใช้งบลงทุนอีก 6,000 ล้านบาท ซึ่งก็คาดหวังว่า รฟม.และรัฐบาลจะอนุมัติ 

“กลุ่มบีเอสอาร์พร้อมจะลงทุนในโครงการระบบรางของรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นทั้งรถไฟฟ้าใน กทม.ปริมณฑล รวมถึงอีอีซี ซึ่งก็จะดูเงื่อนไขของรัฐบาลที่จะประกาศออกมา” นายคีรี กล่าว. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เหล้าเถื่อนลาว

เสียชีวิตรายที่ 6 คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว

คลัสเตอร์เหล้าเถื่อนในลาว มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเสียชีวิตเพิ่มรายที่ 6 เป็นหญิงชาวออสเตรเลีย เสียชีวิตขณะรักษาตัวในไทย

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษา ทบ.

ย้ายเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ช่วยปฏิบัติราชการที่กองบัญชาการกองทัพบก หลังถูกร้องทำร้ายร่างกายผู้ใต้บังคับบัญชา พร้อมช่วยเจ้าทุกข์ย้ายหน่วยตามร้องขอ

ไฟไหม้โรงงานพัดลม เผาวอดเสียหายกว่า 50 ล้าน

ไฟไหม้โรงงานผลิตพัดลมรายใหญ่ จ.สมุทรสาคร ระดมรถดับเพลิงระงับเหตุ กว่า 5 ชม. จึงควบคุมไว้ได้ในวงจำกัด เบื้องต้นเสียหายกว่า 50 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

ภรรยาหมอบุญมอบตัว

“ภรรยา-ลูก” หมอบุญ อ้างถูกปลอมลายเซ็น ไม่เคยรู้การกระทำใดๆ

ทนายความภรรยา-ลูก หมอบุญ เผยถูกปลอมลายเซ็นเอกสาร ไม่เคยรับรู้การกระทำใดๆ ของหมอบุญ โดยภรรยาได้หย่าร้างกับหมอบุญ ก่อนปี 66

น้ำผุดเชียงดาว

น้ำใต้ดินผุดท่วมอ่วม “บ้านเรือน-พื้นที่เกษตร” อ.เชียงดาว

มวลน้ำมหาศาลผุดขึ้นจากใต้ดิน เอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เกษตร และบ้านเรือนประชาชน หลายหมู่บ้าน ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ระดับน้ำบางจุด ท่วมบ้านเกือบถึงหลังคา พื้นที่การเกษตรเสียหายกว่า 400 ไร่

เลือกตั้ง อบจ.

“แสวง” ลงพื้นที่สังเกตการณ์เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี

“เลขาฯ แสวง” ลงพื้นที่ตรวจรับ-มอบอุปกรณ์เลือกตั้ง นายก อบจ.อุดรธานี พร้อมสังเกตการณ์เลือกตั้งพรุ่งนี้ (24 พ.ย.) วอนประชาชนออกมาใช้สิทธิ 8.00-17.00 น.