เวียดนาม 17 พ.ค. – เวียดนามเป็นประเทศผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก แต่ล่าสุดสภาพอากาศที่แปรปรวนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อผลผลิตกาแฟของเวียดนามอย่างมาก
นับเป็นอีกปีที่ยากลำบากของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟชาวเวียดนาม เพราะแม้จะผ่านช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตมานานกว่า 3 เดือนแล้ว แต่ชาวสวนรายนี้เพิ่งจะขายเมล็ดกาแฟได้เพียงครึ่งเดียวของปริมาณผลผลิตที่ได้ และส่วนที่เหลือก็น่าจะขายได้ยาก เพราะคุณภาพของเมล็ดกาแฟปีนี้ตกต่ำ มีเมล็ดสีดำและน้ำตาลเข้มที่ต้องคัดทิ้งปนอยู่มาก แทนที่จะเป็นสีเขียวซีดๆ ของเมล็ดกาแฟดิบคุณภาพดี ที่เรียกกันว่า Green Been
จังหวัด Dak Lak บริเวณที่ราบสูงตอนกลางของเวียดนาม เป็นแหล่งเพาะปลูกกาแฟที่สำคัญของประเทศ ช่วงปีที่แล้วปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งทำให้เกิดภัยแล้งต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นกาแฟขาดน้ำ ให้ผลผลิตน้อยลง และมีขนาดเล็กกว่าปกติ แต่แล้วสภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลง กลายเป็นน้ำท่วม ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลงอีก แถมคุณภาพก็ยังตกต่ำ และชาวสวนยังต้องมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะต้องอบเมล็ดกาแฟด้วยเครื่องอบไฟฟ้า แทนที่จะได้ตากแดดให้แห้ง
สวนกาแฟพื้นที่ 2 เฮกตาร์ หรือราว 12 ไร่ ของเกษตรกรรายนี้ เคยให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟแห้งเฉลี่ยปีละประมาณ 7 ตัน ซึ่งทำเงินได้ราว 11,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 385,000 บาท แต่ปีนี้ผลผลิตลดน้อยลงมาก
เวียดนามก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกกาแฟรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก รองจากบราซิล โดยปีที่แล้วส่งออกได้ 1.8 ล้านตัน หรือเกือบ 1 ใน 5 ของตลาดกาแฟทั่วโลก
ผลผลิตเกือบทั้งหมดเป็นกาแฟพันธุ์โรบัสต้า ที่ส่งเข้าโรงงานผลิตกาแฟผงสำเร็จรูป ซึ่งปีนี้บริษัทต่างๆ เริ่มมองหาแหล่งผลิตอื่นมาทดแทนกาแฟของเวียดนามที่มีแนวโน้มลดลง ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายก็พยายามเรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะมาตรการที่จะทำให้ธุรกิจกาแฟของเวียดนามอยู่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งด้านระบบชลประทาน การดูแลปรับปรุงคุณภาพดิน รวมถึงเมล็ดพันธุ์กาแฟที่สามารถต้านทานโรค และมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศได้. – สำนักข่าวไทย