กรุงเทพฯ 13 ธ.ค. – ไทยออยล์ประเมินราคาน้ำมันดิบปีหน้า 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับราว 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ส่งผลรายได้ปีหน้าเพิ่มขึ้น
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) กล่าวว่าแม้กลุ่มโอเปกและนอกโอเปกได้บรรลุข้อตกลงที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั้งสิ้น 558,000 บาร์เรลต่อวันเพิ่มเติมจากที่กลุ่มโอเปกได้มีข้อตกลงลดกำลังลงการผลิตลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันก่อนหน้านี้ และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบช่วงนี้ขยับขึ้นแต่บริษัทยังคงคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 50-55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับราว 40 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ ซึ่งข้อตกลงนี้ ทำให้ภาวะโอเวอร์ซัพพลายของน้ำมันกลับเข้าสู่สมดุลเร็วขึ้นจากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 60 แต่ก็ต้องจับตาดูว่าผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานหรือแชลล์ออยล์ในสหรัฐ จะกลับมาผลิตมากน้อยเพียงใด หากกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ก็จะทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นไม่ได้มากนัก
ทั้งนี้ในปีหน้า TOP คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่การกลั่นทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นประมาณ6 แสนบาร์เรล/วัน ทำให้ภาวะการผลิตเกินต้องการหรือโอเวอร์ซัพพลายค่อย ๆ ลดลง ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ปี 58 ต่อเนื่องปี 59 ส่งผลค่าการกลั่น (GRM)ปีนี้ดีขึ้นคาดต่อเนื่องถึงปี60 โดยค่าการกลั่นที่ของบริษัทในปีหน้าจะใกล้เคียงกับปีนี้ระดับ 5 เหรียญ/บาร์เรลส่วนค่าการกลั่นรวม( GIM )ซึ่งรวมน่าจะอยู่ประมาณ 7 เหรียญ โดยปีหน้าบริษัทไม่มีแผนหยุดซ่อมบำรุง(ชัทดาวน์) กำลังกลั่นจะกลั่นเต็มที่ ดังนั้น ยอดขายปี 60 น่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8-3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ราว 2.6-2.7 แสนล้านบาท ลดลงจาก 2.94 แสนล้านบาทในปีที่แล้วตามราคาน้ำมันที่ปรับลง ส่วนไตรมาส 4/59 บริษัทอาจจะมีกำไรจากสต็อกน้ำมัน หลังราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือน ธ.ค.มายืนเหนือระดับ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในขณะที่ในเดือน ก.ย. ซึ่งคิดเป็นราคาปิด ณ สิ้นไตรมาส 3/59 ที่อยู่ในระดับ 43.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ส่วนธุรกิจพาราไซลีน (PX) สำหรับในปี 60 คาดว่าจะยังอยู่ในระดับต่ำราวเกือบ 300 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 319 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ จากภาวะโอเวอร์ซัพพลายที่ยังคงอยู่ หลังได้รับแรงกดดันจากกำลังผลิตใหม่ของโลกที่จะเข้ามาราว 3.8 ล้านตัน/ปีทั้งจากอินเดียและซาอุดิอาระเบีย ส่วนสเปรดผลิตภัณฑ์เบนซีน (Bz) คาดว่าจะอยู่ในช่วง 160-180 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 148 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานและยางมะตอยในปีหน้าน่าจะดีกว่าปีนี้ ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากงานก่อสร้างโครงการของภาครัฐที่จะออกมามากขึ้น
นอกจากนี้ ในปีหน้ายังคาดว่าจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการเดินเครื่องผลิตเต็มปีของโรงงานที่เสร็จในปี 59 ได้แก่โรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็ก (SPP) 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 239 เมกะวัตต์จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) มากกว่า 1 พันล้านบาท/ปี และโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene (LAB) กาลังผลิตประมาณ 1 แสนตัน/ปีขณะที่บริษัทยังได้ศึกษาการขยายกำลังผลิตของ LAB หรือในสายงานผลิต LAB ในอนาคตด้วย
สำหรับการลงทุนในปี 60 จะมี การสร้างถังน้ำมันเพิ่มรองรับการสำรองน้ำมันตามกฎหมายที่จะเพิ่มขึ้นตามกำลังผลิต , การขยายสถานีจ่ายน้ำมันทางรถ (lorry loading) จากปัจจุบันมีอยู่ 10 จุด จะเพิ่มเป็น 15 จุด รองรับการขายน้ำมันในประเทศและอินโดจีน การปรับปรุงและขยายท่าเทียบเรือให้รองรับเรือขนาดใหญ่ได้มากขึ้น รวมถึงการสร้างสำนักงานใหม่ใน จ.ชลบุรี ซึ่งการลงทุนทั้งหมดอยู่ในวงเงินลงทุนตามแผน 5 ปี (ปี 60-64) รวม 357 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean Fuel Project:CFP) มูลค่าราว 3,750 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีเป้าหมายจะขยายกำลังการกลั่นน้ำมันเป็นระดับ 4 แสนบาร์เรล/วัน จาก 2.75 แสนบาร์เรล/วันในปัจจุบันนั้น ยังเป็นไปตามแผนงาน โดยจะออกเอกสารเชิญประมูล (TOR) ในช่วงปลายไตรมาส 1/60 หรือต้นไตรมาส 2/60 และให้เวลาผู้รับเหมาพิจารณาประมาณ 9 เดือนก่อนจะส่งเอกสาร น่าจะเป็นช่วงปลายปี 60 หรือต้นปี 61 จากนั้นจะพิจารณาความคุ้มทุนทางด้านเศรษฐศาสตร์อีกครั้งหนึ่งก่อนจะตัดสินใจขออนุมัติการลงทุนขั้นสุดท้ายจากคณะกรรมการในต้นปี 61 ดังนั้นการลงทุนจะเกิดขึ้นในปี 61 และมีผลิตภัณฑ์ออกมาในต้นปี 65 โดยเงินลงทุนเบื้องต้นตามแผน 5 ปีนั้นจะมาจากกระแสเงินสดที่มีอยู่ราว 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทยังไม่มีแผนที่จะออกหุ้นกู้เพื่อรีไฟแนนซ์ภาระหนี้ที่มีอยู่ -สำนักข่่าวไทย