
นายกฯ อินเดียพร้อมช่วยยูเครนทุกวิถีทาง
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ระบุอินเดียพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือยูเครน เพราะเข้าใจความเจ็บปวดของผู้นำยูเครนและประชาชนยูเครนเป็นอย่างดี
นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ระบุอินเดียพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือยูเครน เพราะเข้าใจความเจ็บปวดของผู้นำยูเครนและประชาชนยูเครนเป็นอย่างดี
มุมไบ 20 พ.ค.- ธนาคารกลางอินเดียจะเริ่มนำธนบัตร 2,000 รูปี ซึ่งเป็นชนิดราคาสูงที่สุดออกจากระบบ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่า อาจช่วยให้ธนาคารมีเงินฝากเพิ่มขึ้นในช่วงที่มีตลาดสินเชื่อขยายตัว ธนาคารกลางอินเดียแถลงเมื่อวันศุกร์ว่า มีหลักฐานสนับสนุนว่าประชาชนไม่ได้ใช้ธนบัตร 2,000 รูปี ในการทำธุรกรรมโดยทั่วไป ธนบัตรชนิดราคานี้ยังคงชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่ขอให้ประชาชนนำมาฝากหรือแลกเป็นธนบัตรชนิดราคาที่ต่ำกว่าภายในวันที่ 30 กันยายน เจ้าหน้าที่กระทรวงคลังอินเดียกล่าวว่า การนำธนบัตร 2,000 รูปีออกจากระบบจะไม่ก่อความวุ่นวายให้แก่การดำเนินชีวิตประจำวันหรือเศรษฐกิจ นักเศรษฐศาสตร์บางคนมองว่า มาตรการนี้อาจช่วยให้ธนาคารมีเงินฝากเพิ่มขึ้นในระยะสั้น ช่วยลดแรงกดดันเรื่องต้องขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เนื่องจากธนาคารกำลังมีปัญหาสภาพคล่องตึงตัวจากการที่ตลาดสินเชื่อขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลักในช่วงหลายเดือนมานี้ รอยเตอร์ที่รายงานข่าวนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นก่อนที่อินเดียจะมีการเลือกตั้งใน 4 รัฐใหญ่ในสิ้นปีนี้และจะมีการเลือกตั้งทั่วประเทศราวเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม 2567 ทั้งนี้เชื่อกันว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่ในอินเดียกำลังกักตุนธนบัตรชนิดราคาสูงสำหรับใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของคณะกรรมการการเลือกตั้งเรื่องค่าใช้จ่ายในการหาเสียง รัฐบาลนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดีเริ่มใช้ธนบัตร 2,000 รูปีในปี 2559 หลังจากยกเลิกธนบัตร 500 รูปี และ 1,000 รูปีอย่างกระทันหัน หวังขจัดธนบัตรปลอมที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ มาตรการนี้ทำให้มูลค่าเงินสดในระบบหายไปทันทีร้อยละ 86 ในชั่วข้ามคืน รัฐบาลจึงต้องออกธนบัตร 500 รูปีแบบใหม่ในวันรุ่งขึ้น และเร่งนำธนบัตร 2,000 […]
ศาลอินเดียมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์สายการบินโก เฟิร์สต์ (Go First) เพื่อเปิดโอกาสให้สายการบินที่ล้มละลายแห่งนี้กลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง ขณะที่บริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบินต่างชาติจะมีความยุ่งยากทางกฎหมายมากขึ้นในการนำเครื่องบินกลับ
นิวเดลี 10 พ.ค.- ศาลอินเดียจะมีคำตัดสินในวันนี้ต่อคำยื่นขอล้มละลายของโก เฟิร์สต์ (Go First) ที่เป็นสายการบินใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งจะมีผลต่อชะตากรรมของพนักงาน 7,000 คน และบริษัทให้เช่าเครื่องบินต่างชาติที่ต้องการนำเครื่องบินกลับ ศาลจะมีคำตัดสินในเวลา 10:30 น.วันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ตรงกับเวลา 12:00 น.วันนี้ตามเวลาไทย เป็นที่คาดการณ์กันอย่างกว้างขวางว่า ศาลจะอนุญาตให้ล้มละลายตามที่ขอ และจะเป็นครั้งแรกที่สายการบินอินเดียยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ในฐานนะล้มละลายโดยสมัครใจเพื่อเจรจาเรื่องสัญญาและหนี้สิน คำตัดสินนี้อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ให้เช่าเครื่องบินต่างชาติที่ยื่นเรื่องต่อสำนักงานกำกับดูแลการบินอินเดียเมื่อไม่กี่วันก่อนว่า ต้องการนำเครื่องบินกลับประมาณ 40 ลำ เนื่องจากโกเฟิร์สต์ไม่ได้จ่ายค่าเช่าเครื่องบิน โก เฟิร์สต์ ที่เพิ่งเปลี่ยนชื่อมาจากโก แอร์ไลน์ (Go Airlines) เมื่อไม่นานมานี้อ้างว่า สายการบินเผชิญวิกฤตทางการเงินเพราะเครื่องยนต์เครื่องบินของบริษัทแพรตต์แอนด์วิทนีย์ (Pratt & Whitney) มีข้อบกพร่อง ทำให้ต้องจอดเครื่องบินมากถึงครึ่งหนึ่งจากที่มีอยู่ทั้งหมด 54 ลำ ด้านบริษัทเครื่องยนต์เครื่องบินโต้ว่าเป็นการกล่าวอ้างโดยไร้หลักฐาน โก เฟิร์สต์เป็นสายการบินราคาประหยัด ครองส่วนแบ่งเกือบร้อยละ 8 ในตลาดการบินของอินเดียที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก หากล้มละลายก็จะตามหลังสายการบินคิงฟิชเชอร์ที่ล้มละลายในปี 2555 และสายการบินเจ็ตแอร์เวย์ที่ล้มละลายในปี 2562.-สำนักข่าวไทย
นิวเดลี 9 พ.ค.- เกิดเหตุรถบัสชนตกสะพานทางตอนกลางของอินเดีย มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 คน บาดเจ็บ 37 คน และมีรายงานข่าวว่าคนขับรถหลับใน เหตุเกิดห่างจากเมืองอินดอร์ เมืองใหญ่ที่สุดของรัฐมัธยประเทศไปทางใต้ราว 120 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเผยว่า มีเด็ก 3 คนรวมอยู่ในผู้เสียชีวิต 15 คน ขณะที่หนังสือพิมพ์ไทมส์ออฟอินเดียรายงานว่า รถบัสที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองอินดอร์ชนราวกั้นสะพานแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ส่วนคนขับที่หลับในก่อนเกิดเหตุได้หลบหนีไปจากที่เกิดเหตุแล้ว ข้อมูลของธนาคารโลกที่เผยแพร่ในปี 2564 ระบุว่า อินเดียมียวดยานเพียงร้อยละ 1 ของโลก แต่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากถึงร้อยละ 11 ของโลก หรือราว 150,000 คนต่อปี คิดเป็น 1 คนต่อทุก 4 นาที.-สำนักข่าวไทย
เรือรับส่งนักท่องเที่ยวล่มในอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 22 คน คาดสาเหตุเรือล่มครั้งนี้เกิดจากการบรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวน และจำนวนผู้เสียชีวิตอาจมีมากกว่านี้
เจ้าหน้าที่อินเดีย กล่าวว่า เรือโดยสารท่องเที่ยวแบบ 2 ชั้นเกิดจมลงในรัฐเกรละ (Kerala) ทางใต้ของอินเดียทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 22 ราย
โฆษกรัฐบาล เผยนายกฯ ยินดีความร่วมมือด้านการค้าไทย-อินเดีย ก้าวหน้า รื้อฟื้นการจัดประชุม JTC ร่วมกันในรอบ 20 ปี ผลักดันการแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า เปิดตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
เกิดเหตุก๊าซอุตสาหกรรมรั่วในรัฐปัญจาบ ทางเหนือของอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน อาการหนัก 4 คน
ลอนดอน 28 เม.ย.- สื่อต่างชาติรายใหญ่หลายแห่งรายงานข่าวคดีอาชญากรรมที่กำลังเป็นข่าวใหญ่ในไทยเรื่อง “แอม” ที่ต้องหาว่าฆาตกรรมคนรู้จักสิบกว่าคนด้วยการใช้สารไซยาไนด์ที่เป็นพิษ เว็บไซต์บรรษัทแพร่ภาพกระจายเสียงอังกฤษหรือบีบีซี (BBC) รายงานเมื่อวันพฤหัสดีตามเวลาท้องถิ่น ลงชื่อและนามสกุลจริงของแอมที่ถูกจับกุมเมื่อวันอังคารตามเวลาในไทย หลังจากครอบครัวของสตรีรายหนึ่งในจังหวัดราชบุรีตั้งข้อสงสัยเรื่องเธอเสียชีวิตที่ริมแม่น้ำเมื่อต้นเดือนขณะไปปล่อยปลากับผู้ต้องหา ตำรวจพบร่องรอยของไซยาไนด์ที่ศพ ส่วนโทรศัพท์มือถือ เงินสดและกระเป๋าของผู้เสียชีวิตหายไป ผลการสืบสวนของตำรวจเชื่อว่า ผู้ต้องหาได้ฆาตกรรมคนอีก 11 คน หนึ่งในนั้นเป็นอดีตสามี ตำรวจตั้งข้อกล่าวหาว่าเธอก่อเหตุด้วยเหตุผลเรื่องเงิน แต่เธอให้การปฏิเสธทุกข้อหา และไม่ได้รับการประกันตัว ตำรวจเผยว่า เหยื่อรายอื่นๆ เสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน เริ่มจากเหยื่อรายแรกในปี 2563 แต่ครอบครัวไม่ได้ติดใจสงสัยและทำพิธีศพไปแล้ว ทำให้มีปัญหาในการตามเก็บหลักฐาน บีบีซีระบุว่า ไซยาไนด์จะยังคงตกค้างในศพอยู่นานหลายเดือนหากถูกใช้ปริมาณมาก สารนี้ออกฤทธิ์ด้วยการทำให้เซลล์ในร่างกายขาดออกซิเจน ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ทางการไทยมีระเบียบกำหนดการใช้อย่างเคร่งครัด ผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษจำคุกสูงสุด 2 ปี ด้านเว็บไซต์บรรษัทแพร่ภาพกระจายออสเตรเลีย หรือเอบีซี ของออสเตรเลีย สำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศส และเว็บไซต์ซีบีเอสนิวส์ของสหรัฐรายงานว่า ตำรวจไทยได้ขยายผลการสอบสวนคดีสตรีที่ถูกกล่าวหาว่าใช้ไซยาไนด์ก่อเหตุฆาตกรรม และได้เพิ่มจำนวนเหยื่อเป็น 13 คน โดยตั้งข้อหาฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อนกับผู้ต้องหา รายงานข่าวซึ่งลงชื่อและนามสกุลจริงของผู้ต้องหาระบุว่า เธอถูกจับกุมเมื่อวันอังคารเนื่องจากต้องหาก่อคดีฆาตกรรม 9 คดีในช่วงหลายปีย้อนไปตั้งแต่ปี 2563 ตำรวจเชื่อว่า ผู้ต้องหาซึ่งแต่งงานกับตำรวจและกำลังตั้งครรภ์ 4 […]
สหประชาชาติกล่าววันจันทร์ว่า จำนวนประชากรของอินเดียจะแซงหน้าจีน กลายเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในเดือนนี้ โดยจะมีประชากรเกือบ 1,430 ล้านคน
ฮ่องกง 20 เม.ย.- สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี (CCTV) ของทางการจีนตำหนิสื่อตะวันตกว่า เจตนาโหมกระพือข่าวเรื่องอินเดียจะมีจำนวนประชากรแซงหน้าจีน โดยไม่สนใจเรื่องการพัฒนาของจีน หวังใช้ประเด็นนี้ให้ร้ายจีน ซีซีทีวีระบุว่า เนื้อหาแฝงที่ปรากฎในสื่อตะวันตกในช่วงหลายปีมานี้คือ การพัฒนาของจีนกำลังประสบปัญหาใหญ่ และเมื่อประโยชน์จากการปันผลทางประชากร (demographic dividend) หมดสิ้นไป การพัฒนาของจีนก็จะลดลง และจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก สื่อตะวันตกให้ร้ายจีนตลอดเวลา แต่จีนก็พัฒนาตลอดเวลาและได้สร้างความมหัศจรรย์ด้วยการการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและมั่นคงด้วยประชากรที่มีจำนวนมหาศาล ซีซีทีวีระบุถึงสหรัฐว่า หาทางจำกัดการพัฒนาของจีนและพยายามแยกเรื่องการพัฒนาออกจากเรื่องจำนวนประชากร ล่าสุดสหรัฐได้ฉวยโอกาสโหมกระพือประเด็นใหม่จากรายงานของสหประชาชาติที่ระบุว่า อินเดียจะมีจำนวนประชากรมากกว่าจีนเกือบ 3 ล้านคนภายในกลางปีนี้ เป็นการโหมกระพือที่ไร้ซึ่งความเข้าใจพื้นฐานเรื่องกฎของการพัฒนาประชากร ปัจจุบันการมีอัตราการเกิดลดลงและคนอยากมีบุตรลดลงคือปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งโลก ประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้วก็มีปัญหาเรื่องขาดแคลนแรงงาน ด้านโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวว่า การปันผลทางประชากรไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพของประชากรด้วย และจีนได้ดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับภาวะประชากรเข้าสู่ผู้สูงวัย ซึ่งหมายถึงเรื่องที่จีนมีจำนวนประชากรลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ทศวรรษเมื่อปี 2565 อนึ่ง การปันผลทางประชากร หมายถึงการได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรของประเทศหนึ่งๆ ที่จะมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น เมื่อประชากรวัยแรงงานมีสัดส่วนสูงขึ้น.-สำนักข่าวไทย