ทำเนียบ 10 ม.ค.- ผู้แทนการค้าไทย พบภาคเอกชนอินเดีย ปลื้มการค้าไทย-อินเดียปี 65 ทำ new-high ฝากหอการค้าเป็นกระบอกเสียงส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทย-อินเดียเพิ่มเติม
นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เปิดเผยภายหลังจากการพบหารือกับนายสุชิล กุมาร ดานุกา ประธานหอการค้าอินเดีย – ไทย และคณะ ว่า ไทยและอินเดียเป็นประเทศที่มีความใกล้ชิด ทั้งในแง่ของผู้คน วัฒนธรรม และการค้า ซึ่งในปี 2565 การค้าระหว่างไทยและอินเดียทำสถิติสูงสุด หรือ new high ที่กว่า 17,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญเบื้องหลังความสำเร็จนี้ ตนยังได้ใช้โอกาสนี้ในการขอให้ภาคเอกชนอินเดียที่ลงทุนและทำการค้าในไทยอย่างยาวนาน ช่วยเป็นกระบอกเสียงสะท้อนผลกระทบจากมาตรการและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้รัฐบาลอินเดียได้รับทราบอีกทาง โดยเฉพาะมาตรการห้ามและการจำกัดการนำเข้าสินค้าบางรายการ เช่น ยางล้อ โทรทัศน์สี และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการสนับสนุนการขยายตัวของการค้าของไทยและอินเดียเพิ่มเติมในอนาคต
ผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่า ได้ให้ความมั่นใจกับภาคเอกชนอินเดียว่าหน่วยงานของไทยมีความพร้อมและยินดีที่จะผลักดันเรื่องการใช้ลายมือชื่อและตราประทับอิเล็กทรอนิกส์ ในการออกหนังสือรับรองภายใต้กรอบความตกลงการค้าเสรีไทย-อินเดียและอาเซียน-อินเดีย ซึ่งจะเป็นการอำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการขอรับเอกสารหลักฐานสำหรับการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีทั้ง 2 ฉบับ
ขณะที่คณะหอการค้าอินเดีย-ไทย ได้เสนอให้มีการจัดทำช่องทางการประสานงาน เพื่อรับข้อมูลและข่าวสารในเรื่องการค้า กฎระเบียบ รวมถึงการจัดทำ FTA ที่ถูกต้องจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทางสมาชิกได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดยตนได้แสดงความพร้อมในการเป็นสื่อกลาง และได้เสนอให้ช่องทางดังกล่าวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ 2 ทาง เพื่อที่ภาคเอกชนไทยจะได้รับประโยชน์ด้วย
นางนลินี ยังกล่าวว่า ตนและคณะหอการค้าอินเดีย-ไทยยังได้หารือกันถึงประเด็นการเชื่อมโยง ทั้งการเชื่อมโยงทางอากาศ ผ่านการขยายจำนวนเส้นทางบินและจำนวนที่นั่งโดยสาร เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ ในขณะที่การเชื่อมโยงทางบก ได้หารือถึงความคืบหน้าการจัดทำโครงการถนนสามฝ่าย อินเดีย-เมียนมา-ไทย โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ที่มุ่งยกระดับและปฏิวัติศักยภาพโลจิสติกส์และการค้า ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ.-314.-สำนักข่าวไทย