05 กันยายน 2568
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล
ข้อมูลน่าสงสัย :
มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีน mRNA เผยแพร่ในต่างประเทศ เมื่อมีการอ้างงานวิจัย 2 ชิ้นที่พบว่าวัคซีนโควิด-19 ทำให้อัตราการเสียชีวิตในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น


บทสรุป :
1.เป็นข้ออ้างจากงานวิจัยที่ไม่ได้มาตรฐานและมีการบิดเบือนผลวิจัย
2.อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินไม่ใช่หลักฐานว่าวัคซีนเป็นอันตราย เพราะอาจมีปัจจัยอื่นทำให้ยอดการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :


ข้ออ้างจากข้อมูลงานวิจัยไม่ได้มาตรฐาน
คำกล่าวอ้างชิ้นแรกมาจากกลุ่มต่อต้านวัคซีนในประเทศญี่ปุ่นในชื่อ United Citizens for Stopping mRNA Vaccines ซึ่งมีการจัดเสวนาทางออนไลน์ในภาษาอังกฤษเมื่อกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา
เนื้อหาการเสวนามีการนำเสนอกราฟ 2 ชิ้น โดยกราฟชิ้นแรกแสดงอัตราการเสียชีวิตของผู้ฉีดวัคซีนสูงกว่าผู้ไม่ฉีดวัคซีน ส่วนกราฟชิ้นที่สองแสดงอัตราการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนโดสของวัคซีน
อย่างไรก็ดี ข้อมูลดังกล่าวไม่อาจนำไปสู่บทสรุปว่าวัคซีนโควิด-19 นำไปสู่การเสียชีวิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีตัวแปรสำคัญที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ ซึ่งส่งผลต่อการประเมินความปลอดภัยของวัคซีน
ในกราฟตัวแรกไม่มีการระบุกลุ่มอายุของผู้ฉีดวัคซีนและไม่ฉีดวัคซีน จึงเป็นไปได้ว่ากลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วเสียชีวิตมากกว่า อาจจะเป็นกลุ่มที่ได้รับวัคซีนแต่เนิ่น ๆ เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตมากกว่าประชากรทั่วไป
ขณะเดียวกัน กลุ่มที่ไม่ฉีดวัคซีนแล้วมีอัตราการเสียชีวิตน้อย อาจจะเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ได้รับวัคซีนช้ากว่า ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีโอกาสป่วยหนักและเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวซึ่งรับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก
กราฟตัวที่ 2 ที่พบอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 5 โดสมากที่สุด จนนำไปสู่บทสรุปว่า ยิ่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ยิ่งเสี่ยงตายมากขึ้น
แต่กระนั้น ข้อมูลจากกราฟขัดแย้งกับข้อสรุปดังกล่าว แม้จะพบอัตราการเสียชีวิตสูงสุดในกลุ่มผู้รับวัคซีนเกิน 5 โดส แต่อัตราการเสียชีวิตระหว่างกลุ่มที่รับวัคซีน 1-5 โดสและผู้ไม่รับวัคซีน แทบไม่แตกต่างกัน จึงไม่อาจสรุปได้ว่า ยิ่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ยิ่งเสี่ยงตายตามที่กล่าวอ้าง
ตามข้อมูลของ Our World in Data พบว่า ขณะที่ญี่ปุ่นมีสัดส่วนประชากรวัยผู้ใหญ่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แบบครบโดสสูงมากกว่า 80% แต่อัตราการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของคนวัย 12-64 ปีมีไม่ถึง 70% ต่างจากประชากรสูงวัยที่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นมากกว่า 90%
เท่ากับว่ากลุ่มที่ได้รับวัคซีนมากกว่า 3 เข็มในญี่ปุ่นส่วนใหญ่คือผู้สูงอายุซึ่งอาจมีโรคประจำตัว จึงมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าประชากรทั่วไป จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมชาวญี่ปุ่นที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 มากกว่า 5 โดสจึงเป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด
ปัญหาสำคัญของข้อมูลที่นำเสนอ คือการไม่บอกสัดส่วนการเสียชีวิตต่อประชากร ซึ่งการที่ประชากรส่วนใหญ่ในสังคมรับการฉีดวัคซีนหมดแล้ว การพบจำนวนผู้เสียชีวิตในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนมากกว่ากลุ่มไม่ฉีดวัคซีนจึงเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนจะน้อยกว่ากลุ่มไม่ฉีดวัคซีนก็ตาม
ข้ออ้างบิดเบือนผลวิจัย
คำกล่าวอ้างชิ้นที่สอง นำมาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ทางวารสาร BMJ Public Health เมื่อเดือนเมษายน 2025 ซึ่งเปรียบเทียบอัตราการเสียชีวิตส่วนเกิน (Excess Death) ในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี 2020-2023 กับช่วงปี 2015-2019
งานวิจัยพบว่า อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินของญี่ปุ่นช่วงปี 2020-2023 สูงกว่าช่วงปี 2015-2019 ที่ 219,516 ครั้ง
รายละเอียดพบว่า อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินของญี่ปุ่นลดลงในปี 2020 โดยมียอดการตายลดลงในปีนั้นที่ 22,045 ครั้ง
แต่อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินกลับค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยปี 2021 มียอดการตายเพิ่มขึ้น 31,791 ครั้ง ปี 2022 ยอดตายเพิ่มขึ้น 119,060 ครั้ง และปี 2023 เพิ่มขึ้น 90,710 ครั้ง
ข้อมูลดังกล่าว ทำให้สื่อที่ต่อต้านวัคซีนเช่นเว็บไซต์ Slay News นำไปอ้างว่า ญี่ปุ่นประกาศการพบอัตราการเสียชีวิตส่วนเกินในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19
อย่างไรก็ดี กานัน เทวนาธาน นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยโตเกียว เจ้าของงานวิจัยที่ถูกนำไปกล่าวอ้าง ปฏิเสธการเชื่อมโยงผลวิจัยกับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เนื่องจากทีมวิจัยไม่ได้สอบสวนความสัมพันธ์ระหว่างการเสียชีวิตส่วนเกินกับสถานะการฉีดวัคซีนแม้แต่น้อย
งานวิจัยสรุปว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นประสบความสำเร็จทำให้อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินลดลงในช่วงปีแรกของการแพร่ระบาด แต่อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินกลับสูงขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะในปี 2022
ผู้วิจัยประเมินว่า มีตัวแปรมากมายที่อาจทำให้อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินสูงขึ้นในช่วงท้ายของการแพร่ระบาด เช่นสภาพสังคมที่แตกต่างระหว่างผู้คนในชนบทและเมืองใหญ่ รวมถึงการกลับมาแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่าง ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่
งานวิจัยยังพบว่า อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินในจังหวัดนีงาตะลดลงอย่างมากระหว่างปี 2022-2023 ปัจจัยอาจมาจากอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงของคนในจังหวัด
พอล ฮันเตอร์ ศาสตราจารย์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย อธิบายว่า อัตราการเสียชีวิตส่วนเกินช่วงหลังการระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบจากภาวะลองโควิด การกลับมาระบาดของโรคติดต่อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ และการประวิงเวลาการตรวจคัดกรองโรคที่เป็นอันตรายถึงชีวิตในช่วงที่ไวรัสโควิด-19 ระบาด อาจเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้นในช่วงหลังการแพร่ระบาด
พอล ฮันเตอร์ ย้ำว่าสาเหตุที่มีข้อมูลพบการเสียชีวิตในกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนมากขึ้น เนื่องจากในสังคมมีประชากรผู้ฉีดวัคซีนมากขึ้น แต่สุดท้ายแล้ว สัดส่วนการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ฉีดวัคซีนก็ยังน้อยกว่ากลุ่มผู้ไม่ฉีดวัคซีนเช่นเดิม
ข้อมูลอ้างอิง :
https://science.feedback.org/review/inadequate-analysis-japan-data-false-covid-vaccine-mortality/
https://www.reuters.com/fact-check/japanese-study-does-not-report-explosion-deaths-among-covid-vaccinated-2025-04-24/
หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare
สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter