ชัวร์ก่อนแชร์: ไบเดนดัน EV สุดโต่ง จะให้กองทัพใช้รถถังไฟฟ้า จริงหรือ?

10 ธันวาคม 2567
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล


ข้อมูลที่ถูกแชร์ :

มีข้อมูลเท็จเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าเผยแพร่ในต่างประเทศ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ อ้างระหว่างหาเสียงเลือกตั้งในช่วงปี 2024 ว่า นโยบายผลักดันยานยนต์พลังงานไฟฟ้าของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กำลังส่งผลเสียต่อกองทัพสหรัฐฯ เนื่องจากมีแผนเปลี่ยนยานยนต์ของกองทัพให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด รวมถึงรถถังที่ใช้ในสงครามอีกด้วย ทำให้รถถังมีระยะทางที่จำกัด และต้องมีแหล่งสำรองพลังงานที่มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับขนาดของรถถังเองอีกด้วย


บทสรุป :

  1. นโยบาย Climate Strategy ย้ำการปรับเปลี่ยนยานยนต์ชนิด รถช่วยรบ (Tactical vehicle) และ รถมิใช่ยานรบ (Non-tactical vehicle) ให้เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคต
  2. แต่นโยบาย Climate Strategy ไม่ได้กล่าวถึงยานรบ (Combat vehicle) ซึ่งรวมถึงรถถัง ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแต่อย่างใด

FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :

ข้ออ้างดังกล่าวมาจากนโยบาย Climate Strategy ที่กองทัพสหรัฐฯ ประกาศแผนเมื่อปี 2022 เพื่อหวังเสริมศักยภาพกองทัพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


โดยเน้นไปที่การเปลี่ยนยานยนต์ของกองทัพให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้า

ยานพาหนะทหาร แบ่งเป็น 3 ประเภทได้แก่

ยานรบ (Combat vehicle)
รถช่วยรบ (Tactical vehicle)
รถมิใช่ยานรบ (Non-tactical vehicle)

แผนการสำคัญของ Climate Strategy มีดังนี้

รถมิใช่ยานรบขนาดเล็ก (Light-duty non-tactical vehicle) ปรับเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2027

รถมิใช่ยานรบ (Non-tactical vehicle) ปรับเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2035

รถช่วยรบ (Tactical vehicle) ปรับเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฮบริดทั้งหมดภายในปี 2035

รถช่วยรบ (Tactical vehicle) ปรับเปลี่ยนเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2050

อย่างไรก็ดี แม้กองทัพสรัฐฯ มีแผนที่จะปรับเปลี่ยนยานพาหนะของกองทัพให้พึ่งพาพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น แต่นโยบาย Climate Strategy ไม่รวมถึงยานพาหนะชนิด Combat Vehicle หรือ ยานรบ ซึ่งรวมถึงรถถังที่ใช้ในสนามรบแต่อย่างใด จึงไม่มีหลักฐานว่า กองทัพสหรัฐฯ จะสร้างกองทัพรถถังไฟฟ้าตามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวอ้าง

นโยบาย Climate Strategy ของกองทัพสหรัฐฯ ถูกนักการเมืองสหรัฐฯ ฝั่งรีพับลิกันต่อต้านอย่างแพร่หลาย โดยอ้างว่า การเปลี่ยนยานพาหนะทหารให้กลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดจะนำมาซึ่งปัญหา เช่น การตกเป็นเป้าโจมตีด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแรงสูงหรือ Electromagnetic Pulse (EMP) ซึ่งเป็นการปลดปล่อยพลังแม่เหล็กไฟฟ้าไปทำลายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทำให้ใช้งานไม่ได้ รวมถึงข้อจำกัดการหาที่ชาร์จไฟฟ้าระหว่างทำภารกิจในสนามรบที่อยู่ห่างไกล

ฟาเบียน วิลลาโลโบส วิศวกรจากสถาบันวิจัย Rand Corp ซึ่งมีแผนกวิจัยด้านการทหาร และให้การสนับสนุนข้อมูลแก่กองทัพสหรัฐฯ อธิบายว่า ความเสี่ยงจากการถูกโจมตีด้วย EMP เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทัพที่ใช้ยานยนต์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นกัน เพราะปัจจุบันมีการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และไมโครชิปติดตั้งในยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่แล้ว การหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในกองทัพ ไม่ทำให้ความเสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าโจมตีโดย EMP เพิ่มขึ้นหรือลดลง

ส่วนข้ออ้างอุปสรรคการหาที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในสนามรบ ฟาเบียน วิลลาโลโบส ก็ย้ำว่าในสนามรบก็ไม่มีปั๊มน้ำมันเหมือนกัน ดังนั้นอุปสรรคด้านพลังงานสำรองจึงไม่แตกต่างกันอย่างที่เข้าใจ

แม้การเปลี่ยนยานยนต์ในกองทัพให้กลายเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะเหมือนเป็นเรื่องใหม่ แต่แท้จริงแล้ว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยศึกษาความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนรถมิใช่ยานรบ (Non-tactical vehicle) ให้กลายเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า มาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว

บทความเรื่อง The Lethality Case for Electric Military Vehicles จากเว็บไซต์ Modern War Institute ของโรงเรียนเตรียมทหาร United States Military Academy หรือ West Point ระบุว่า การเปลี่ยนยานยนต์ในกองทัพให้เป็นยานยนต์ไฟฟ้า ไม่เพียงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเสริมศักยภาพให้กับกองทัพได้อีกด้วย ทั้งการประหยัดงบประมาณด้านการลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศ การไม่ต้องส่งเสบียงน้ำมันไปยังสมรภูมิด่านหน้าบ่อย ๆ ก็ลดความเสี่ยงให้กับพลทหารได้มาก

นอกจากนี้ คุณสมบัติของยานยนต์ไฟฟ้า ที่เงียบกว่ารถยนต์น้ำมันและไม่ทิ้งร่องรอยจากท่อไอเสียเหมือนรถยนต์น้ำมัน ก็เหมาะกับภารกิจอำพรางตนจากศัตรูอย่างมาก

ข้อมูลอ้างอิง :

https://www.factcheck.org/2023/11/trumps-false-claim-that-u-s-military-moving-to-electric-tanks/
https://www.politifact.com/factchecks/2023/dec/21/donald-trump/trump-said-the-biden-administration-wants-to-make/

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เมียติด GPS รถผัว ตามง้อถึงบ้าน ฝ่ายชายเมิน ยิงดับ

ภรรยาติด GPS รถสามี ตามง้อไม่สำเร็จ ซัดด้วยลูกโม่ตายคาใต้ถุนบ้าน คาดปมทะเลาะหึงหวง คิดจบชีวิตตัวเองตาม แต่พ่อสามียึดปืนไว้ทัน

ครูสูญเงิน 1.2 ล้านบาท มิจฉาชีพหลอกเป็นที่ดิน-จนท.ธนาคาร

ครูสาวชาวอุบลราชธานี ถูกมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นหน่วยงานราชการ และเจ้าหน้าที่ธนาคาร ใช้เบอร์ธนาคารโทรหาจึงหลงเชื่อ สูญเงินกว่า 1.2 ล้านบาท

สุราษฎร์ฯ คลื่นลมแรง น้ำทะเลหนุนสูงท่วมบ้าน-รีสอร์ต

ฝนตกหนัก-คลื่นลมแรง น้ำทะเลหนุนสูงซัดบ้านพัก-รีสอร์ต อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี พังเสียหาย 4 หลัง เตือนเรือประมงงดออกจากฝั่ง

New threats in Los Angeles as wildfire switches direction

ไฟป่าแอลเอเปลี่ยนทิศสร้างปัญหาใหม่

ลอสแอนเจลิส 12 ม.ค.- รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐเกิดภัยคุกคามใหม่วานนี้ เมื่อไฟป่าที่โหมไหม้เผาหลายพื้นที่ทั่วเทศมณฑลลอสแอนเจลิสหรือแอลเอเคาน์ตี้ได้เปลี่ยนทิศทาง ทำให้ต้องสั่งอพยพประชาชนเพิ่มเติม และกลายเป็นปัญหาท้าทายใหม่สำหรับทีมนักดับเพลิง พื้นที่เขตแคลิฟอร์เนียใต้เผชิญไฟป่ามาตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม โดยเกิดไฟป่าพร้อมกัน 6 จุดทั่วแอลเอเคาน์ตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 11 คน  ผู้สูญหาย 13 คน  บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างเสียหายหรือถูกทำลายรวมแล้วกว่า 10,000 หลัง คาดว่าความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินจะเพิ่มขึ้นอีก เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถเข้าตรวจสอบพื้นที่ประสบภัยได้อย่างละเอียด ขณะนี้ยังคงมีประชาชน 153,000 คนอยู่ภายใต้คำสั่งอพยพ และอีก 166,800 คน เสี่ยงต้องอพยพเนื่องจากมีการประกาศเคอร์ฟิวในทุกพื้นที่ที่มีการอพยพประชาชนหนีไฟป่า ขณะเดียวกันเครื่องบินกองทัพอากาศของเม็กซิโกได้ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐเมื่อวานนี้ เพื่อนำทีมบุคคลากร 74 คนจากกองทัพบกและคณะกรรมาธิการป่าไม้แห่งชาติ ไปช่วยปฏิบัติการดับไฟป่าที่กำลังลุกไหม้ลามไม่หยุดทั่วเขตแคลิฟอร์เนียใต้ ภารกิจด้านมนุษยธรรมดังกล่าวครอบคลุมทั้งปฏิบัติการดับไฟป่าและปกป้องพลเรือน ขณะที่กงสุลเม็กซิโกในเมืองแอลเอประกาศไม่ปิดทำการและเสนอให้ที่พักพิงกับผู้ประสบภัยชาวเม็กซิโก ไม่ว่าจะมีสถานะเป็นผู้อพยพหรือไม่ ปัจจุบันมีชาวเม็กซิโกหรือลูกหลานชาวเม็กซิโกอาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียคิดเป็นเกือบร้อยละ 30 ของประชากรทั้งรัฐ.-820(814).-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

กล้อง CCTV จับภาพผู้ต้องสงสัย 2 ราย ก่อเหตุ จยย.บอมบ์

กล้อง CCTV จับภาพผู้ต้องสงสัย 2 ราย คาดเป็นคนร้ายก่อเหตุ จยย.บอมบ์ ปัตตานี มีผู้บาดเจ็บ 10 ราย ทั้งเจ้าหน้าที่ อส. ตำรวจ และชาวมาเลเซีย

พิธีสืบพระชะตาหลวง

รัฐบาลจัดยิ่งใหญ่ พิธีสืบพระชะตาหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคล

รัฐบาลจัดพิธีสืบพระชะตาหลวงและพิธีแห่ไม้ค้ำโพธิ์หลวง อย่างยิ่งใหญ่ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีสมมงคล

เรือใบคาตามารันพร้อม 38 ชีวิต ล่มทะเลภูเก็ต

เรือใบคาตามารันล่ม ขณะนำนักท่องเที่ยวพร้อมลูกเรือรวม 38 ชีวิต ออกไปดำน้ำบนเกาะราชา จ.ภูเก็ต ล่าสุดทุกคนได้รับการช่วยเหลือกลับเข้าฝั่งปลอดภัย