ชัวร์ก่อนแชร์: ดื่มนมบ่อยทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน จริงหรือ?

13 มิถุนายน 2567
แปลและเรียบเรียงบทความ : อดิศร สุขสมอรรถ
ตรวจทานและพิสูจน์อักษร : คมส์ธนนท์ ศุขอัจจะสกุล


ข้อมูลที่ถูกแชร์ :

มีคลิปวิดีโอข้อมูลเท็จเผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ในหลายประเทศ โดยอ้างว่าการดื่มนมไม่มีประโยชน์ต่อความแข็งแรงของกระดูก เนื่องจากความเป็นกรดของนมจะไปดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูก นำไปสู่โรคกระดูกพรุน การรับโปรตีนจากนมวัวในปริมาณมาก ยังกระตุ้นการขับแคลเซียมทางปัสสาวะ และอ้างว่าประชากรป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน ส่วนใหญ่จะมาจากชาติตะวันตกที่นิยมการดื่มนมวัว


บทสรุป :

  1. เป็นข้ออ้างจากหมอที่ถูกห้ามรักษาในออสเตรเลียเพราะเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
  2. ความเป็นกรดในนมจะหายไปจากกระบวนการย่อยอาหาร
  3. แคลเซียมจากการดื่มนม ป้องกันการไม่ให้ร่างกายดึงแคลเซียมจากกระดูก ลดโอกาสโรคกระดูกพรุน
  4. ชาติตะวันตกที่นิยมดื่มนมแต่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนบ่อย มาจากหลายปัจจัย ทั้งสังคมผู้สูงอายุและการขาดวิตามินดีจากแสงแดด เป้นต้น

FACT CHECK : ตรวจสอบข้อเท็จจริง :

ข้ออ้างจากหมอที่ถูกห้ามรักษา


เจ้าของข้อความกล่าวอ้างที่แชร์ทางออนไลน์ คือ บาร์บารา โอนีล นักธรรมชาติบำบัดชาวออสเตรเลีย ที่ถูกสั่งห้ามรักษาผู้ป่วยในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลียเป็นการถาวรตั้งแต่ปี 2019 จากข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จทางการแพทย์โดยไม่มีหลักฐานซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพประชาชน

แคลเซียมในนมวัวและร่างกายมนุษย์

โครงสร้างหลักของนมวัวมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 87% โดย 13% ที่เหลือได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ แคลเซียม และ ฟอสฟอรัส

โดยน้ำนม 1 ลิตรมีโปรตีน 35 กรัม และปริมาณแคลเซียม 1,200 มิลลิกรัม

มนุษย์มีปริมาณแคลเซียมในร่างกายประมาณ 920-1,200 กรัม โดย 99% อยู่ที่กระดูกและฟัน มีสัดส่วนคิดเป็น 1.5% ของน้ำหนักตัว

ข้อมูลจาก Academy of Nutrition and Dietetics หน่วยงานด้านอาหารและโภชนาการของสหรัฐอเมริการะบุว่า แคลเซียมคือแร่ธาตุที่ร่างกายมนุษย์ผลิตเองไม่ได้ การดื่มนมวัวซึ่งมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด จึงมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างมาก

การขับแคลเซียมทางปัสสาวะจากการดื่มนม

มีการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการดื่มนมมากเกินไปกับความแข็งแรงของกระดูก จากกระบวนการขับแคลเซียมทางปัสสาวะ อย่างไรก็ดี งานวิจัยหลายชิ้นต่างยืนยันว่า การได้รับแคลเซียมอย่างเหมาะสมจากน้ำนม มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างชัดเจน

การดื่มนมไม่ใช่สาเหตุของโรคกระดูกพรุน

มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติ หรือ International Osteoporosis Foundation ได้จัดทำข้อมูล Fact Sheet เพื่อชี้แจงประเด็นความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการดื่มนมและโรคกระดูกพรุนดังนี้

  1. นมมีความเป็นกรด การบริโภคนมและโยเกิร์ตเพิ่มความเป็นกรดในเลือด ร่างกายจึงต้องดึงแคลเซียมจากกระดูกเพื่อป้องกันสภาวะกรดเกินในร่างกาย การดื่มนมจึงเสี่ยงทำให้กระดูกพรุน – ข้อมูลเท็จ

นมและโยเกิร์ตไม่ใช่อาหารที่สร้างกรดในร่างกาย ความเป็นกรดในนมจะหายไประหว่างกระบวนการย่อยอาหาร หากร่างกายได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอ ก็ไม่จำเป็นต้องดึงแคลเซียมมาจากกระดูก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคกระดูกพรุน

  1. ชาติตะวันตกที่นิยมบริโภคผลิตภัณฑ์จากนม กลับพบผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ แสดงว่านมคือสาเหตุของโรคกระดูกพรุน – ข้อมูลเท็จ

สาเหตุการเกิดโรคกระดูกพรุนมีหลายปัจจัย ทั้งอายุ พันธุกรรม และ พฤติกรรม เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การทำกิจกรรม รวมถึงน้ำหนักตัว ทั้งหมดนี้ล้วนมีความสัมพันธ์ต่อโรคกระดูกมากกว่าการดื่มนม

หลายประเทศที่มีประชากรป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนจำนวนมาก พบว่าเป็นประเทศที่ประชากรมีอายุขัยยืนยาว เช่น ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย การมีอายุยืนยาวส่งผลให้พบจำนวนผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนมากขึ้นเช่นกัน

แม้การดื่มนมอย่างเดียวจะไม่รับประกันการป้องกันโรคกระดูกพรุน แต่การดื่มนมก็ไม่ใช่สาเหตุของการป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน

การกินเกลือไม่ช่วยเสริมกระดูก

บาร์บารา โอนีล ยังเผยแพร่ความเชื่อผิด ๆ ด้วยการแนะนำให้ผู้ฟังเลี่ยงการดื่มนมวัว แล้วหันมารับแคลเซียมจากการบริโภคเกลือแทน

แม้การบริโภคเกลืออย่างเหมาะสม จะทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมคลอไรด์ที่เพียงพอต่อร่างกาย อย่างไรก็ดี ในเกลือมีปริมาณแคลเซียมที่น้อยมาก การบริโภคเกลือจำนวนมากกลับยิ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพของกระดูกโดยรวม

ข้อมูลจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ระบุว่า เกลือ 1 ช้อนชา มีแคลเซียมเพียง 1.44 มิลลิกรัมเท่านั้น

สถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIH) ระบุว่า ผู้ใหญ่ควรได้รับแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน

ดังนั้นการบริโภคเกลือเพียงอย่างเดียว นอกจากไม่ช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอแล้ว ยังส่งผลเสียต่อการรับโซเดียมคลอไรด์มากเกินปกติอีกด้วย

องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (FDA) ระบุว่า ใน 1 วันไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,300 มิลลิกรัมหรือปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา แต่พบว่าชาวอเมริกันบริโภคโซเดียมเฉลี่ย 3,400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งการได้รับโซเดียมมากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคความดันเลือดสูง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง

ข้อมูลจากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี เผยว่า คนไทยบริโภคโซเดียมเกือบ 3,632 มิลลิกรัมต่อวัน หรือ 1.8 ช้อนชา สูงกว่าปริมาณที่องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้เกือบ 2 เท่า โดยมาตรฐานของ WHO กำหนดว่าใน 1 วันไม่ควรบริโภคโซเดียมเกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมหรือปริมาณเกลือ 1 ช้อนชา หรือปริมาณน้ำปลาไม่เกิน 4 ช้อนชา และปริมาณซีอิ๊วไม่เกิน 5 ช้อนชา

นอกจากนี้ งานวิจัยปี 2012 ของคณะแพทยศาสตร์และทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ยังพบว่า การบริโภคโซเดียมมากเกินไป ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมจากทางปัสสาวะมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้ แคลเซียมปริมาณสูงในปัสสาวะ ยังเพิ่มความเสี่ยงการเกิดก้อนนิ่วในไตเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง :

https://leadstories.com/hoax-alert/2024/04/fact-check-dairy-consumption-does-not-lead-to-calcium-deficiency-due-to-acidity.html
https://factly.in/this-video-alleging-milk-being-a-significant-contributor-to-osteoporosis-disease-is-misleading/
https://www.osteoporosis.foundation/sites/iofbonehealth/files/2019-03/2015_ServeUpDairyProducts_FactSheet_English_0.pdf
https://www.nstda.or.th/sci2pub/sodium-affects-bone-mass/
https://www.hfocus.org/content/2022/05/25190

ดูข่าวเพิ่มเติม

หากได้รับอะไรมา อย่าเพิ่งแชร์ต่อ ส่งมาตรวจสอบกับ “ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์”
LINE :: @SureAndShare หรือคลิก http://line.sure.guru
FB :: https://www.facebook.com/SureAndShare
YouTube :: https://www.youtube.com/@SureAndShare
Twitter :: https://www.twitter.com/SureAndShare
IG :: https://instagram.com/SureAndShare
Website :: http://www.ชัวร์ก่อนแชร์.com
TikTok :: https://www.tiktok.com/@sureandshare

สมัครรับฟรี ชัวร์ก่อนแชร์ Newsletter ส่งถึงกล่องอีเมลของคุณทุกสัปดาห์ :: https://i.sure.guru/sureandshareNewsletter

หมายเหตุ : โฆษณาที่ปรากฏอยู่บนหน้าเว็บไซต์นี้ แสดงผลโดยอัตโนมัติจากบริษัทผู้ให้บริการโฆษณา ไม่ใช่การสนับสนุนหรือส่งเสริมจากศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์แต่อย่างใด

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เปิดปมสามียิงภรรยาดับคารถ ปัญหาเรื่องเงิน

กทม. 11 มิ.ย. – เปิดปมเหตุสามียิงภรรยาดับคารถ พี่ชายกับเพื่อนรุ่นน้องเผยว่าผู้ก่อเหตุมีปัญหาเรื่องเงิน พบช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยนไป จากกรณีนายมีนาพัฒน์ อายุ 40 ปี ก่อเหตุยิงนางสาวนันทิชา อายุ 36 ปี ภรรยาของตัวเอง แล้วทิ้งศพไว้ในรถ ในซอยเพชรเกษม 67 แยก 8 เขตบางแค และหลังก่อเหตุปิดล็อกประตูเงียบอยู่ในบ้านพัก เจ้าหน้าที่ล้อมจับนาน 4 ชั่วโมง จนยอมมอบตัวเมื่อคืนวานนี้ (10 มิ.ย.) ต่อมาพี่ชายของนายมีนาพัฒน์ มาเยี่ยมผู้ก่อเหตุที่ สน.เพชรเกษม เปิดใจยอมรับว่าสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องเงิน เมื่อช่วงเดือนเมษายน น้องสะใภ้ (ผู้ตาย) บอกว่า น้องชายนำบ้านที่แม่ยกให้เป็นมรดกไปเข้าธนาคาร 2 ล้านกว่าบาท ซึ่งผิดจากปกติที่น้องไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงินมาก่อน เพราะแม่ยกสมบัติให้เยอะมาก ครั้งสุดท้ายที่คุยกับน้องชายคือเมื่อวานนี้ช่วง 19.30 น. น่าหลังจากก่อเหตุฆ่าภรรยาแล้ว คุยกันประมาณครึ่งชั่วโมงสังเกตได้ว่าน้องชายมีอาการสับสน พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มีบางประโยคที่น้องชายพูดออกมาแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจ เรื่องบ้านที่แม่ยกให้เป็นมรดก บอกว่า “บ้านหลังนี้ครอบครัวเราจะต้องได้อยู่” […]

ตำรวจภาค 8 รวบ 3 ราย ขบวนการส่งยาขนมากับรถทัวร์

กระบี่ 11 มิ.ย. – รวบขบวนการค้ายาบ้า ขนมากับรถทัวร์ สายเชียงใหม่-ภูเก็ต 3 แสนเม็ด แวะลงกระบี่ ส่งให้เอเย่นต์สาขาสุราษฎร์ฯ ตำรวจรวบทีเดียวทั้งคนส่งและคนรับ นายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ พล.ต.ต.พรชัย ขจรกลิ่น รอง ผบช.ภ.8 รักษาการ ผบ.ภ.จ.กระบี่ แถลงผลการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ได้ผู้ต้องหา 3 คน พร้อมของกลางยาบ้า 300,000 เม็ด ประกอบด้วย นายสัมพันธ์ อายุ 54 ปี นายสุรพล อายุ 30 ปี และนางสาวสุนารี อายุ 27 ปี พร้อมยึดรถเก๋ง 1 คัน และแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยกระทำเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการส่งมอบยาบ้ากันบริเวณสามแยกเขาต่อ อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ เมื่อถึงเวลาก็มีรถทัวร์สายเชียงใหม่-ภูเก็ต […]

‘ฮุน มาเนต’ ย้ำทหารกัมพูชาไม่ได้ถอยออกจากพื้นที่

ปารีส 10 มิ.ย. – ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งสารจากฝรั่งเศสถึงชาวกัมพูชา ยืนยันจุดยืนกองทัพไม่ได้ถอนออกจากพื้นที่ภายใต้อธิปไตย พร้อมร่วมมือกับไทยปักปันเขตแดน ตามกลไกเจบีซี ยกเว้น 4 จุดที่จะส่งศาลโลกตัดสิน ฮุน มาเนต ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมการประชุมว่าด้วยมหาสมุทรของสหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ที่เมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก Hun Manet ส่งสารถึงชาวกัมพูชา มีใจความดังนี้ กองทัพกัมพูชาสนับสนุนความพยายามในการหาทางแก้ไขปัญหานี้โดยสันติ แต่พร้อมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในการปกป้องบูรณภาพแห่งดินแดนจากการพยายามรุกรานใดๆ กองทัพกัมพูชาพร้อมที่จะเข้าร่วมสนับสนุนกลไกการเจรจาชายแดนกับไทยที่มีคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อดำเนินงานรังวัดและปักปันเขตแดนที่เหลือระหว่าง 2 ประเทศต่อไป ยกเว้นประเด็นที่กัมพูชาจะส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ไอซีเจ (ICJ) พิจารณา

นายกฯ พบชาวไร่อ้อย รับข้อเสนอราคาอ้อย

ทำเนียบ 10 มิ.ย.-นายกฯ พบชาวไร่อ้อย รับข้อเสนอราคาอ้อย มอบ รมว.อุตสาหกรรม แก้ปัญหาราคา ก่อนประชุม ครม. ไม่ตอบคำถามสื่อปมเอกสาร รทสช.ขอปรับรัฐมนตรี จับตา ครม. ถกข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ก่อนประชุม JBC 14 มิ.ย.นี้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีประจำสัปดาห์ โดยก่อนการประชุม ประธานสมาพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และคณะ เข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อแสดงความขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้การสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐมนตรีติดตามการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรมาโดยตลอด และมารายงานเรื่องนี้อย่างละเอียดอยู่ตลอด ตนทราบปัญหา ทางเกษตรกรจึงเน้นย้ำว่า ปัญหาจะแก้ไขได้ก็ต้องเป็นไปภายใต้การสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” นายกรัฐมนตรี จึงไหว้รับขอบคุณ พร้อมกับกล่าวต่อว่า อะไรที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ก็พร้อมที่จะแก้ไขในทุกเรื่องอยู่แล้ว จึงอยากให้จัดระบบให้ดี เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนทุกกลุ่ม ขณะเดียวกันเกษตรกรยังฝากรัฐบาลให้ไปดูแลในการรับซื้อใบอ้อย เนื่องจากเกษตรกรให้ความร่วมมือในการตัดอ้อยสด ทำให้นายกรัฐมนตรีถึงกับกล่าวแซว โห นี่จริงๆ ทำไมไม่ไปเป็นนักการเมือง ในสภาน่าจะเก่งเรื่องนี้ ทำให้เกษตรกรคนดังกล่าวกล่าวว่าลูกชายของตนเป็นนายก 6 สมัยรวด ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะกล่าวขอบคุณ และขอให้ทุกคน”รวยๆ […]

ข่าวแนะนำ

จากด่านสู่ดุลอำนาจ

จากด่านสู่ดุลอำนาจ : ไทย-กัมพูชา กับบทบาทใหม่ของเศรษฐกิจ

ใครพึ่งใคร? – วิเคราะห์แรงกดดันเศรษฐกิจชายแดนต่อกัมพูชา หลังไทยจำกัดการข้ามแดน กรณีพิพาทบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แม้เคยเกิดเหตุปะทะเล็กน้อยระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย แต่ในเวลาต่อมา กัมพูชาตัดสินใจถอยกำลังออกจากพื้นที่ โดยไม่มีการยกระดับความขัดแย้ง กลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของ “ความมั่นคงยุคใหม่” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเป็นตัวตัดสิน หากแต่เกิดจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจที่ไทยเลือกใช้ แทนการเผชิญหน้าด้วยแสนยานุภาพ ผ่าน “มาตรการจำกัดการข้ามแดน” ที่บีบช่องทางการเคลื่อนย้ายคน สินค้า และระบบโลจิสติกส์ โดยเฉพาะที่ด่านอรัญประเทศ – จุดยุทธศาสตร์ซึ่งถือเป็นหัวใจของการค้าชายแดนไทย–กัมพูชา จุดเปลี่ยน : เมื่อเศรษฐกิจกลายเป็นเครื่องมือของความมั่นคงไทยเลือกใช้ “แรงบีบเชิงเศรษฐกิจโดยสันติวิธี” เป็นกลยุทธ์กดดันคู่ขนานกับการเจรจา ผ่านมาตรการสำคัญ ได้แก่ : ไทยยังส่งสัญญาณชัดว่า พร้อมจะยกระดับมาตรการเหล่านี้ หากสถานการณ์ตามแนวชายแดนยังตึงเครียด มาตรการซึ่งสำหรับกัมพูชาแล้ว เปรียบเสมือนกดทับ “เส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ” ของฝั่งตะวันตกที่ต้องพึ่งพาการค้าข้ามแดนจากไทยเป็นหลัก ไทย : ผู้ถือ “กุญแจด่าน” และพลังการค้าข้ามพรมแดนข้อได้เปรียบของไทยยิ่งชัดเจน เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการค้าข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ (เมษายน 2568) ระบุว่า การค้าชายแดนไทย-กัมพูชามีมูลค่ารวม 64,612 ล้านบาท ในช่วง 4 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้น […]

ลุ้นมติแพทยสภาวันนี้ ปมลงโทษ 3 หมอกรณีชั้น 14

กทม. 12 มิ.ย.-ที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา เริ่มการประชุมแล้ว โดยวาระที่ต้องจับตา คือการลงมติชี้ขาดโทษแพทย์ 3 ราย กรณีรักษา “ทักษิณ” ชั้น 14 รพ.ตำรวจ กรรมการแพทยสภา เริ่มทยอยเดินทางเข้าห้องประชุมตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา การประชุมคณะกรรมการบริหารแพทยสภา จัดขึ้นทุกวันพฤหัสบดีที่ 2 ของทุกเดือน โดยวันนี้มีวาระที่สังคมจับตา คือการพิจารณามติลงโทษแพทย์ 3 คน จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ที่รักษานายทักษิณ ชินวัตร บนชั้น 14 หลังจาก นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข วีโต้คัดค้านความเห็นมติการลงโทษแพทย์ทั้ง 3 รายในการประชุมครั้งที่แล้ว โดยวันนี้มีรายงานว่า นายสมศักดิ์ จะเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมในเวลา 12.00 น. โดยมีเวลา 15 นาทีในการชี้แจง จากนั้นต้องออกจากห้องประชุมทันที เพราะเป็นการประชุมลับ รศ.พญ.ประสบศรี อึ่งถาวร หนึ่งในกรรมการแพทยสภาโดยเลือกตั้ง ให้ข้อมูลก่อนเข้าประชุมว่า การที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สธ. ในฐานะสภานายกพิเศษแพทยสภาจะเข้าร่วมการประชุม ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะที่ผ่านมา […]

ภรรยาช็อก สามีเสียชีวิตกลางวงสังสรรค์ที่อิสราเอล

อุดรธานี 12 มิ.ย. – ภรรยาช็อก สามีเสียชีวิตที่อิสราเอล นั่งคุยกับเพื่อนเรื่องลูกสาว จู่ๆ วูบดับคาโต๊ะกลางวงสังสรรค์ เชื่อทำงานต่างแดน โหมงานหนักจนเสียชีวิต เมื่อวานนี้ (11 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฤษฎาง พูนเจ๊กมะดัน อายุ 39 ปี ชาวบ้านลานเต อ.ประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 8 มิ.ย.68 ขณะไปทำงานที่อิสราเอล เจ้าหน้าที่จากสำนักงานจัดหางานจังหวัดอุดรธานี ประกันสังคมจังหวัด แรงงานจังหวัด และผู้สื่อข่าว เดินทางลงพื้นที่ร่วมแสดงความเสียใจกับครอบครัว จากการตรวจสอบข้อมูล ทราบว่า นายกฤษฎาง เคยเดินทางไปทำงานในรัฐอิสราเอลเมื่อปี พ.ศ.2553 โดยบริษัทจัดหางานจัดส่ง ต่อมาได้เดินทางไปทำงานในประเทศไต้หวัน เมื่อวันที่ 6 พ.ค.67 ภายหลังได้รับการติดต่อจากนายจ้างในรัฐอิสราเอลให้เดินทางกลับไปทำงานอีกเป็นครั้งที่ 2 จึงได้ตัดสินใจเดินทางเข้าไปทำงานต่อในรัฐอิสราเอลเมื่อ ม.ค.68 ในส่วนข้อมูลประกันสังคมพบข้อมูลผู้เสียชีวิตสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 และมีเงินสะสมกรณีบำเหน็จชราภาพ จำนวน […]

ร่างตัวประกันไทยรายสุดท้ายที่เสียชีวิตในกาซา ถึงไทยแล้ว

11 มิ.ย. – ร่างแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกันและเสียชีวิตในฉนวนกาซา ถึงไทยแล้ว ด้านกระทรวงแรงงาน เผยเร่งช่วยเหลือครอบครัวและทายาท ร่างของนายณัฐพงษ์ ปินตา แรงงานไทยที่ถูกกลุ่มฮามาสจับเป็นตัวประกันและเสียชีวิตในฉนวนกาซา ที่ถูกส่งกลับมาด้วยสายการบินอิสราเอลแอร์ไลน์ ออกเดินทางจากกรุงเทลอาวีฟ ได้เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 14.00 น. วันนี้ (11 มิ.ย.) โดยมี นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และ น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงผู้แทนเอกอัครราชทูตรัฐอิสราเอลประจำประเทศไทย มารอรับ และร่วมวางพวงหรีดหน้าหีบศพเพื่อแสดงความอาลัย โดยนายณัฐพงษ์ เป็นตัวประกันแรงงานไทยรายสุดท้ายที่ค้นพบร่างและสามารถส่งกลับไทยได้ สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาที่ทายาทจะได้รับ คือ 1.ในส่วนของสถาบันประกันภัยอิสราเอล กรณีแรงงานเสียชีวิต ครอบครัวหรือทายาทจะได้รับเงินชดเชย ได้แก่ ค่าทำศพ ประมาณ 79,000 บาท, ค่าใช้จ่ายในการฝังศพเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 47,000 บาท (1,300 USD), เงินช่วยเหลือการเป็นม่าย (หากมีภรรยา) ประมาณ 57,000 บาท, เงินชดเชยรายเดือนและรายปีอื่นๆ […]