พม. เผยแนวทางช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบโควิด

กทม. 21 ส.ค.-พม. เผยแนวทางช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กขาดผู้ดูแลจากผลกระทบโควิด-19 ทั้งนี้พบเด็กติดเชื้อมากขึ้น เฉลี่ยกว่า 2,000 รายต่อวัน

นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กระทรวง พม. มีความห่วงใยกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือโดยด่วน ขณะนี้พบว่าเด็กติดเชื้อมีจำนวนมากขึ้น โดยเฉลี่ยติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 รายต่อวัน และเด็กติดเชื้อสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-19 สิงหาคม 2564 มีจำนวน 104,392 คน ซึ่ง กทม. เป็นจังหวัดที่มีเด็กติดเชื้อมากที่สุดถึง 11,107 คน


นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้ดำเนินการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนี้ 1) คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทุกระดับในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีกลไก การกำกับติดตาม และประสานส่งต่อเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และ 2) กระทรวง พม. ได้พัฒนาแนวทางการประสานงานส่งต่อการช่วยเหลือเด็กรวมถึงผู้ปกครอง โดยจัดกลุ่มเด็กที่ได้รับผลกระทบออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 เด็กพึงได้รับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพ เช่น ยากจน เลี้ยงดูมิชอบ ทารุณกรรม ผู้ปกครองไม่สามารถเลี้ยงดูได้ กลุ่มที่ 2 เด็ก พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ และ กลุ่มที่ 3 เด็กติดเชื้อ พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไม่ติดเชื้อ กลุ่มที่ 4 เด็กไม่ติดเชื้อ พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ และกลุ่มที่ 5 เด็กกำพร้า กรณีบิดามารดาหรือผู้ปกครองเสียชีวิตจากการติดเชื้อ มีจำนวน 234 คน ในพื้นที่ กทม. และ 48 จังหวัด แบ่งเป็นกำพร้าบิดา กำพร้ามารดา และกำพร้าบิดาและมารดา ทั้งนี้มีเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือดูแลที่ครอบคลุม โดยเข้าสู่ระบบการจัดการรายกรณี ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม-19 สิงหาคม 2564 รวมจำนวน 2,900 คน

นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวง พม. ยังมีกลไกการเข้าถึงกลุ่มเด็กและประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมเชิงรุก ได้แก่ 1) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทั่วประเทศ 195,360 คน แบ่งเป็น กทม. 5,119 คน และจังหวัด 190,241 คน 2) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และ “Mobile Application คุ้มครองเด็ก” เป็นช่องทางการแจ้งเหตุครอบคลุมทุกสภาพปัญหา รวมถึงเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และ 3) การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. กองทุนความเสมอภาคเพื่อการศึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และเปิดบริการ Line Official Account @savekidscovid19 เพื่อเป็นศูนย์กลางประสาน เชื่อมต่อบริการของหน่วยงาน องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครในการช่วยเหลือเด็กและ ครอบครัวได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งเด็กติดเชื้อหรือผู้ปกครองติดเชื้อ หรือเด็กผู้ปกครอง และสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อทั้งหมด รวมทั้งเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งนี้ เมื่อข้อมูลจาก Line OA ที่แจ้งเหตุเข้ามาไม่ว่าจะที่ไหนในประเทศไทยจะถูกส่งต่อเข้าระบบระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก Child Protection Information System (CPIS) แบบ Real Time โดยมีบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 แห่ง เป็นผู้จัดการรายกรณี รับหน้าที่เป็นผู้ประสานการช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความต้องการของเด็กและครอบครัว สำหรับ กทม. แบ่งพื้นที่การทำงานเป็น 6 โซน ตามการแบ่งโซนของ กทม. ได้แก่ 1) กรุงเทพเหนือ 7 เขต 2) กรุงเทพตะวันออก 9 เขต 3) กรุงเทพกลาง 9 เขต 4) กรุงเทพใต้ 10 เขต 5) กรุงธนเหนือ 8 เขต และ 6) กรุงธนใต้ 7 เขต อีกทั้งมีรูปแบบการจัดบริการความช่วยเหลือด้านกาย จิต สังคม การศึกษา ที่มุ่งเน้นการป้องกันการแยกเด็กออกจากครอบครัว เพื่อลดผลกระทบเชิงลบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อเด็กที่เกิดจากการพรากจากผู้ดูแล นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังได้เสริมสร้างความสามารถขององค์กรและแสวงหาความร่วมมือ เพื่อการให้บริการแบบไร้รอยต่อ ด้วยแนวปฏิบัติและการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยความร่วมมือกับองค์กรยูนิ เซฟ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่ายการเลี้ยงดูเด็กทดแทน (Alternative Care Network) ด้วยการจัดทำคู่มือและการฝึกอบรม


นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนโยบายการให้ความช่วยเหลือเด็กในสถานการณ์โควิด-19 ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองอยู่ระหว่างการรักษา หรือยังไม่มีความพร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู รวมถึงกรณีที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเสียชีวิต ผ่านระบบการเลี้ยงดูทดแทนรูปแบบต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะแรก เป็นการเลี้ยงดูทดแทนแบบฉุกเฉินสำหรับเด็กกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องได้รับการดูแลในระยะกักตัว 14 วัน เพื่อติดตามอาการในสถานที่กักตัว (State Quarantine-SQ) กรณีไม่สามารถจัดหา SQ ได้ จะส่งเด็กให้อยู่ในการดูแลของบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 แห่ง 2) ระยะที่สอง เป็นการเลี้ยงดูทดแทนแบบชั่วคราวสำหรับเด็กที่พ้นระยะกักตัว 14 วัน ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองยังไม่มีความพร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู หรือพ่อแม่ ผู้ปกครองเสียชีวิต แบ่งเป็น 2.1) ครอบครัวเครือญาติอุปถัมภ์ โดยญาติรับเลี้ยงดูเด็กทั้งในระยะสั้นและยาว 2.2) ครอบครัวอุปถัมภ์ โดยครอบครัวอาสาสมัครที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติรับเลี้ยงดูเด็กตามระยะเวลาที่กำหนด 2.3) สถานสงเคราะห์ ซึ่งจะเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กชั่วคราว ผ่านการจัดบริการด้านต่าง ๆ ในระยะยาว และ 3) ระยะที่สาม เป็นการเลี้ยงดูในครอบครัวทดแทนถาวร โดยครอบครัวบุญธรรมคนไทยและคนต่างชาติที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติที่จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายที่กำหนด โดยมีสิทธิ หน้าที่ และความผิดชอบต่อเด็กตามกฎหมาย นอกจกานี้ ยังมีระบบอาสาสมัครดูแลเด็ก โดยร่วมมือกับกองทุนความเสมอภาคเพื่อการศึกษา (กสศ.) พัฒนาระบบการรับสมัครอาสาสมัครในการดูแลเด็กประเภทต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม.ได้มีการจัดตั้งศูนย์แรกรับเด็กและครอบครัว ณ อาคารธัญญารมย์สถาบันพระชาบดี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งมี นายจุติ ไกรฤฏษ์ รมว.พม. เป็นประธาน โดยมีกระทรวงสาธารณสุขช่วยดูแลจัดการระบบและดูแลทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัด ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะให้การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั้งในจังหวัดปทุมธานี กทม. และปริมณฑล สามารถรองรับได้ 10 ครอบครัว (40 เตียง) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนเสริมสร้างสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2564 ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้พยายามเสริมบริการดูแลเด็กและครอบครัวให้มากที่สุด โดยพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครือข่ายคุ้มครองเด็ก หากพบเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ผ่าน Line OA @savekidscovid19 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และ Mobile Application คุ้มครองเด็ก.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ศาล รธน. นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้

ศาล รธน. 13 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้ เปิดให้เจ้าตัวเข้าไต่สวนพร้อมเลขาฯ สมช. 21 ส.ค. ไม่มาถือว่าไม่ติดใจ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า น.ส.แพทองธาร แสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 […]

ทบ.แจงปมขอรับบริจาคลวดหนาม จำเป็นต้องใช้เร่งด่วน

กองทัพบก 13 ส.ค.- โฆษก ทบ. แจงกองทัพภาค 2 ขอรับบริจาค “ลวดหนามหีบเพลง” เหตุจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยกำลังพล สกัดการลักลอบเข้าพื้นที่ของทหารกัมพูชา ชี้หากรอกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ใช้เวลา 1 เดือน ย้ำรัฐบาล-กองทัพ มีงบประมาณเพียงพอ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ขอให้กองทัพภาคที่2 หยุดรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงจากประชาชน และให้มาขอกับรัฐบาลว่า ยืนยันรัฐบาลและกองทัพมีงบประมาณเพียงพอ แต่ติดขัดในกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน และหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบ อาจทำให้ผู้จัดซื้อมีความผิด ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องใช้ลวดหนามหีบเพลงทันที โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดน “อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์” จึงต้องขอรับการสนับสนุนจากประชาชน “การจัดซื้อต้องเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่วิธีจัดหาใช้แบบพิเศษได้ แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ที่สำคัญ กรณีลวดหีบเพลงสเปกที่ทหารใช้ ไม่มีในท้องตลาดต้องสั่งผลิตจึงใช้เวลานานขึ้นไปอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ งบประมาณมีอย่างเพียงพอ มีแค่เรื่องเวลา” โฆษก ทบ. กล่าวและว่า […]

โรงเรียน-โรงพยาบาลในอุบลฯ เปิดวันแรก หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

13 ส.ค. – ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ (13 ส.ค.) ยังปกติ ชาวบ้านติดชายแดนต่างวิตก หวั่นเกิดการปะทะ จึงเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมหากต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนโรงเรียน-โรงพยาบาล ใน จ.อุบลราชธานี เปิดวันแรก ทำเอาชาวบ้านอยู่ไม่ได้ หลังมีกระแสข่าวว่าจะเกิดการยิงกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนชาวบ้านต้องขนของอพยพออกจากบ้านกลางดึก เพื่อมาตั้งหลักในตัว อ.กันทรลักษ์ แต่หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ออกไปพักบ้านญาติพี่น้องต่างอำเภอ สำหรับสถานที่ราชการในตัว อ.กันทรลักษ์ วันนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนโรงเรียนบางแห่งประกาศให้เรียนทางออนไลน์แทน เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนชายแดน จ.สุรินทร์ ปิดต่อ ให้เรียนออนไลน์เช่นเดียวกับ จ.สุรินทร์ โรงเรียนชายแดนยังปิดต่อ และให้เรียนออนไลน์แทน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ปกครองกังวลถ้ายังเปิดเรียนในช่วงสถานการณ์ยังไม่สงบและไม่ปลอดภัย 100% ส่วนในพื้นที่ อ.พนมดงรัก โรงเรียนประถมฯ บางโรงประกาศให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ช่วงวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ และมีบางโรงเรียนที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว แต่ไม่บังคับว่านักเรียนต้องมาเรียนทุกคน โดยมีการแจ้งใน LINE กลุ่มผู้ปกครองว่าหากผู้ปกครองท่านใดยังมีความกังวลใจก็อนุญาตให้เด็กลาได้ ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ […]

South Korea Leader and wife at Presidential plane Apr 2023

เกาหลีใต้จับอดีตสตรีหมายเลข 1

โซล 13 ส.ค.- นางคิม คอน ฮี อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ถูกควบคุมตัวตามที่ศาลออกหมายจับเมื่อค่ำวานนี้ หลังจากอัยการยื่นขอหมายจับเพราะเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวนในคดีที่ถูกกล่าวหาหลายคดี นางคิม ซึ่งจะมีอายุครบ 53 ปีในเดือนกันยายน เป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 คนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุม ขณะที่สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล วัย 64 ปี กำลังถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี หลังจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปี 2567 ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนางคิมได้โค้งคำนับและไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวขณะเดินทางถึงศาล จากนั้นไปรอฟังคำตัดสินที่สถานกักขังในกรุงโซลตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกาหลีใต้ โฆษกคณะอัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนแถลงว่า อัยการยื่นขอหมายจับนางคิม เนื่องจากเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวน สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่า ศาลอนุมัติหมายจับตามคำแถลงเรื่องเธอมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักฐาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ถูกตั้งข้อหาหลายคดี ตั้งแต่การปั่นหุ้นไปจนถึงการรับสินบนและการใช้อิทธิพลแทรกแซงอย่างผิดกฎหมายที่พัวพันกับเจ้าของธุรกิจ บุคคลทางศาสนา และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เธอถูกกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเรื่องสร้อยคอประดับจี้ยี่ห้อหรูที่สวมไปร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่สเปน พร้อมกับสามีในปี 2565 เนื่องจากไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สินจี้ดังกล่าวที่มีข่าวว่าราคาสูงกว่า 60 ล้านวอน (กว่า 1.4 ล้านบาท) เธอให้การกับอัยการว่าเป็นของปลอมที่ซื้อในฮ่องกงเมื่อ […]