พม. เผยแนวทางช่วยเหลือเด็กได้รับผลกระทบโควิด

กทม. 21 ส.ค.-พม. เผยแนวทางช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กขาดผู้ดูแลจากผลกระทบโควิด-19 ทั้งนี้พบเด็กติดเชื้อมากขึ้น เฉลี่ยกว่า 2,000 รายต่อวัน

นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะโฆษกกระทรวง พม. เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กระทรวง พม. มีความห่วงใยกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มเด็กซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือโดยด่วน ขณะนี้พบว่าเด็กติดเชื้อมีจำนวนมากขึ้น โดยเฉลี่ยติดเชื้อเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 รายต่อวัน และเด็กติดเชื้อสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-19 สิงหาคม 2564 มีจำนวน 104,392 คน ซึ่ง กทม. เป็นจังหวัดที่มีเด็กติดเชื้อมากที่สุดถึง 11,107 คน


นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปว่า กระทรวง พม. ได้ดำเนินการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนี้ 1) คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธาน มีมติเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ให้มีการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทุกระดับในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้มีกลไก การกำกับติดตาม และประสานส่งต่อเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบ และ 2) กระทรวง พม. ได้พัฒนาแนวทางการประสานงานส่งต่อการช่วยเหลือเด็กรวมถึงผู้ปกครอง โดยจัดกลุ่มเด็กที่ได้รับผลกระทบออกเป็น 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 เด็กพึงได้รับการสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพ เช่น ยากจน เลี้ยงดูมิชอบ ทารุณกรรม ผู้ปกครองไม่สามารถเลี้ยงดูได้ กลุ่มที่ 2 เด็ก พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ และ กลุ่มที่ 3 เด็กติดเชื้อ พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไม่ติดเชื้อ กลุ่มที่ 4 เด็กไม่ติดเชื้อ พ่อแม่หรือผู้ปกครองติดเชื้อ และกลุ่มที่ 5 เด็กกำพร้า กรณีบิดามารดาหรือผู้ปกครองเสียชีวิตจากการติดเชื้อ มีจำนวน 234 คน ในพื้นที่ กทม. และ 48 จังหวัด แบ่งเป็นกำพร้าบิดา กำพร้ามารดา และกำพร้าบิดาและมารดา ทั้งนี้มีเด็กที่ได้รับการช่วยเหลือดูแลที่ครอบคลุม โดยเข้าสู่ระบบการจัดการรายกรณี ระหว่างวันที่ 27 กรกฎาคม-19 สิงหาคม 2564 รวมจำนวน 2,900 คน

นางสาวแรมรุ้ง กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวง พม. ยังมีกลไกการเข้าถึงกลุ่มเด็กและประชาชนที่ประสบปัญหาทางสังคมเชิงรุก ได้แก่ 1) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ทั่วประเทศ 195,360 คน แบ่งเป็น กทม. 5,119 คน และจังหวัด 190,241 คน 2) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และ “Mobile Application คุ้มครองเด็ก” เป็นช่องทางการแจ้งเหตุครอบคลุมทุกสภาพปัญหา รวมถึงเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และ 3) การจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 โดยความร่วมมือระหว่างกระทรวง พม. กองทุนความเสมอภาคเพื่อการศึกษา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และเปิดบริการ Line Official Account @savekidscovid19 เพื่อเป็นศูนย์กลางประสาน เชื่อมต่อบริการของหน่วยงาน องค์กรเอกชน ภาคประชาสังคม และอาสาสมัครในการช่วยเหลือเด็กและ ครอบครัวได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งเด็กติดเชื้อหรือผู้ปกครองติดเชื้อ หรือเด็กผู้ปกครอง และสมาชิกในครอบครัวติดเชื้อทั้งหมด รวมทั้งเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งนี้ เมื่อข้อมูลจาก Line OA ที่แจ้งเหตุเข้ามาไม่ว่าจะที่ไหนในประเทศไทยจะถูกส่งต่อเข้าระบบระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก Child Protection Information System (CPIS) แบบ Real Time โดยมีบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 แห่ง เป็นผู้จัดการรายกรณี รับหน้าที่เป็นผู้ประสานการช่วยเหลือตามสภาพปัญหาและความต้องการของเด็กและครอบครัว สำหรับ กทม. แบ่งพื้นที่การทำงานเป็น 6 โซน ตามการแบ่งโซนของ กทม. ได้แก่ 1) กรุงเทพเหนือ 7 เขต 2) กรุงเทพตะวันออก 9 เขต 3) กรุงเทพกลาง 9 เขต 4) กรุงเทพใต้ 10 เขต 5) กรุงธนเหนือ 8 เขต และ 6) กรุงธนใต้ 7 เขต อีกทั้งมีรูปแบบการจัดบริการความช่วยเหลือด้านกาย จิต สังคม การศึกษา ที่มุ่งเน้นการป้องกันการแยกเด็กออกจากครอบครัว เพื่อลดผลกระทบเชิงลบทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อเด็กที่เกิดจากการพรากจากผู้ดูแล นอกจากนี้ กระทรวง พม. ยังได้เสริมสร้างความสามารถขององค์กรและแสวงหาความร่วมมือ เพื่อการให้บริการแบบไร้รอยต่อ ด้วยแนวปฏิบัติและการให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยความร่วมมือกับองค์กรยูนิ เซฟ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเครือข่ายการเลี้ยงดูเด็กทดแทน (Alternative Care Network) ด้วยการจัดทำคู่มือและการฝึกอบรม


นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับนโยบายการให้ความช่วยเหลือเด็กในสถานการณ์โควิด-19 ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองอยู่ระหว่างการรักษา หรือยังไม่มีความพร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู รวมถึงกรณีที่พ่อแม่ ผู้ปกครองเสียชีวิต ผ่านระบบการเลี้ยงดูทดแทนรูปแบบต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะแรก เป็นการเลี้ยงดูทดแทนแบบฉุกเฉินสำหรับเด็กกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูงที่ต้องได้รับการดูแลในระยะกักตัว 14 วัน เพื่อติดตามอาการในสถานที่กักตัว (State Quarantine-SQ) กรณีไม่สามารถจัดหา SQ ได้ จะส่งเด็กให้อยู่ในการดูแลของบ้านพักเด็กและครอบครัว 77 แห่ง 2) ระยะที่สอง เป็นการเลี้ยงดูทดแทนแบบชั่วคราวสำหรับเด็กที่พ้นระยะกักตัว 14 วัน ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองยังไม่มีความพร้อมในการรับเด็กกลับไปเลี้ยงดู หรือพ่อแม่ ผู้ปกครองเสียชีวิต แบ่งเป็น 2.1) ครอบครัวเครือญาติอุปถัมภ์ โดยญาติรับเลี้ยงดูเด็กทั้งในระยะสั้นและยาว 2.2) ครอบครัวอุปถัมภ์ โดยครอบครัวอาสาสมัครที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติรับเลี้ยงดูเด็กตามระยะเวลาที่กำหนด 2.3) สถานสงเคราะห์ ซึ่งจะเป็นทางเลือกสุดท้าย โดยสงเคราะห์และคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กชั่วคราว ผ่านการจัดบริการด้านต่าง ๆ ในระยะยาว และ 3) ระยะที่สาม เป็นการเลี้ยงดูในครอบครัวทดแทนถาวร โดยครอบครัวบุญธรรมคนไทยและคนต่างชาติที่ผ่านการพิจารณาคุณสมบัติที่จะรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายที่กำหนด โดยมีสิทธิ หน้าที่ และความผิดชอบต่อเด็กตามกฎหมาย นอกจกานี้ ยังมีระบบอาสาสมัครดูแลเด็ก โดยร่วมมือกับกองทุนความเสมอภาคเพื่อการศึกษา (กสศ.) พัฒนาระบบการรับสมัครอาสาสมัครในการดูแลเด็กประเภทต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนี้ กระทรวง พม.ได้มีการจัดตั้งศูนย์แรกรับเด็กและครอบครัว ณ อาคารธัญญารมย์สถาบันพระชาบดี อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ตามมติเห็นชอบของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติในการประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งมี นายจุติ ไกรฤฏษ์ รมว.พม. เป็นประธาน โดยมีกระทรวงสาธารณสุขช่วยดูแลจัดการระบบและดูแลทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัด ซึ่งศูนย์แห่งนี้จะให้การช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ทั้งในจังหวัดปทุมธานี กทม. และปริมณฑล สามารถรองรับได้ 10 ครอบครัว (40 เตียง) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณบางส่วนจากกองทุนเสริมสร้างสุขภาพแห่งชาติ (สสส.) คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2564 ทั้งนี้ กระทรวง พม. ได้พยายามเสริมบริการดูแลเด็กและครอบครัวให้มากที่สุด โดยพร้อมทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบอย่างครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งขอเชิญชวนประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครือข่ายคุ้มครองเด็ก หากพบเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือ สามารถแจ้งเหตุได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ผ่าน Line OA @savekidscovid19 ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และ Mobile Application คุ้มครองเด็ก.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

คลอดลูกแฝดตกตึก

หญิงวัย 31 เพิ่งคลอดลูกแฝด พลัดตกตึก 18 ชั้น รพ.ดัง เสียชีวิต

สลด! หญิงวัย 31 ปี เพิ่งคลอดลูกแฝด พลัดตกตึก 18 ชั้น โรงพยาบาลดัง เสียชีวิต ด้านโรงพยาบาลแถลงแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต พร้อมทบทวนมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก

ทหารควง M16 ยิงเพื่อนตำรวจดับคาบ้านพัก

ทหารพรานควง M16 บุกยิงเพื่อนตำรวจเสียชีวิตภายในบ้านพัก ก่อนขี่รถจักรยานยนต์ออกจากบ้านผู้ตาย เข้ามอบตัวกับตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี เบื้องต้นคนก่อเหตุให้การวกวน เนื่องจากอยู่ในอาการหลอน

ลูกน้องปืนโหดรัวยิงหัวหน้างานดับคา สนง.ปฏิรูปที่ดินฯ

ลูกน้องชักปืนกระหน่ำยิงหัวหน้างานดับกลางห้องทำงาน สำนักงานปฏิรูปที่ดิน จ.น่าน ก่อนลั่นไกยิงตัวเอง ปมเหตุขัดแย้งเรื่องงาน

จนท.ปะทะเดือด! เสียงปืนสงบพบศพคนร้าย 4 ศพ

ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง นำกำลังปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ อ.กรงปินัง จ.ยะลา เกิดการปะทะ เสียงปืนสงบพบศพคนร้าย 4 ศพ ยึดอาวุธสงคราม 3 กระบอก

ข่าวแนะนำ

ขอบคุณทุกคะแนนเสียง เลือกนายก อบจ.-ส.อบจ.เพื่อไทย

“อนุสรณ์” ขอบคุณทุกคะแนนเสียง เลือกนายก อบจ.-ส.อบจ.พรรคเพื่อไทย เชื่อมนต์ขลัง “ทักษิณ”-ผลงานรัฐบาลแพทองธาร เป็นปัจจัยความสำเร็จ

กต.พร้อมพา 5 ตัวประกันไทยกลับบ้านเมื่อสุขภาพแข็งแรง

รมว.ต่างประเทศ เยี่ยม 5 ตัวประกันคนไทย พร้อมพาทุกคนกลับบ้านเมื่อสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว ขณะที่ทุกคนขอบคุณที่ทำให้ได้ชีวิตใหม่

นายกฯ ฝากรายการใหม่เทปแรก ไล่เรียงนโยบายแบบ Exclusive

“โอกาสไทยกับนายกแพทองธาร” นักจัดรายการมือใหม่​ ฝากเนื้อฝากตัว หวังใจถึงใจกับประชาชน​ ไล่เรียงภารกิจนโยบายหลายเรื่องแบบเบื้องหลัง Exclusive 30 บาทรักษาทุกที่-บ้านเพื่อคนไทย-แก้ฝุ่น-พ.ร.ก.ไซเบอร์ ยันเงินหมื่นเฟส 3 มาแน่ รอคลังเคาะ นายกฯ รับเสียใจถูกบูลลี่เรื่องแต่งตัว​ แต่จะแต่งแบบนี้ไปทำงานให้ประชาชนมีความสุข

อุตุฯ เผยไทยตอนบนอุ่นขึ้น 1-2 องศาฯ ค่าฝุ่นมีแนวโน้มเพิ่ม

กรมอุตุฯ เผยมวลอากาศเย็นมีกำลังอ่อน ส่งผลให้ไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศาฯ ขณะที่ค่าฝุ่นละอองมีแนวโน้มเพิ่ม