โควิดในเรือนจำติดเชื้อใหม่ 140 ราย

กรมราชทัณฑ์ 21 มิ.ย.-สถานการณ์โควิดในเรือนจำ ติดเชื้อรายใหม่ 140 ราย รักษาหาย 466 ราย ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 5,976 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต ภาพรวมในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แนวโน้มดีขึ้น สามารถจำกัดแดนพบ ผู้ติดเชื้อออกจากแดนปลอดเชื้อได้ชัดเจน โดยคาดส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจำสีแดงได้ภายในเดือน ก.ค.


นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2564 เวลา 16.00 น.) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรายใหม่ จำนวน 140 ราย รักษาหายวันนี้ 466 ราย ทำให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 5,976 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
โดยสถานการณ์ในวันนี้ ยังคงมีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจำสีขาว ไม่พบการระบาดจำนวน 127 แห่ง และเรือนจำสีแดงที่พบการระบาดคงที่จำนวน 13 แห่ง มีเรือนจำที่พ้นระยะสีแดง รอการปรับสถานะ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางเชียงใหม่ และเรือนจำจังหวัดนราธิวาส ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ เป็นการตรวจพบเชื้อจากผู้ต้องขังในแดนจากเรือนจำสีแดง 134 ราย และในห้องแยกกักโรค 6 ราย จากเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี 3 ราย และเรือนจำอำเภอธัญบุรี เรือนจำกลางสมุทรปราการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร แห่งละ 1 ราย ซึ่งจะพบว่าเรือนจำสีแดงที่พบการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มของผู้ติดเชื้อลดลง ขณะที่พบจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายสะสม 29,166 ราย หรือ 82% ของจำนวนผู้ป่วยสะสมทั้งหมด

นายอายุตม์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีเรือนจำ/ทัณฑสถานหลายแห่งที่สามารถจำกัดแดนที่พบผู้ติดเชื้อออกจากแดนปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน จนสามารถวางแผนเพื่อลดสถานะจากเรือนจำสีแดงเป็นเรือนจำสีขาวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจำสีแดงได้ภายในเดือนกรกฎาคม โดยจะเริ่มทยอยลดสถานะได้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป


ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในวันนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางสงขลา 77 ราย และทัณฑสถานหญิงสงขลา 24 ราย ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในบางแดน และได้แยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเรียบร้อยแล้ว รวมถึงการเร่งตรวจหาเชื้อเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาที่รวดเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองจะถูกส่งตัวรักษาที่โรงพยาบาลภายนอก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ ซึ่งเป็นผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่พบเชื้อ จะได้รับการดูแลรักษาภายในพื้นที่เรือนจำ/ทัณฑสถานที่จัดทำพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะ โดยจะได้รับยาสารสกัดฟ้าทะลายโจร และยาผงฟ้าทะลายโจร รวมถึงยาต้านไวรัส และยารักษาอื่นๆ ตามอาการ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุน ทั้งในส่วนของยารักษาและบรรเทาอาการ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษา รวมถึงการจัดทีมแพทย์และพยาบาลจากส่วนกลางและเรือนจำ/ทัณฑสถานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพื่อเข้าดูแลและช่วยเหลือในพื้นที่ให้สถานการณ์อยู่ในการควบคุมโดยเร็วที่สุด

นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ในพื้นที่จังหวัดสงขลาในช่วงนี้ ผู้ต้องขังชายจากเรือนจำกลางสงขลา และเรือนจำจังหวัดสงขลาที่เป็นผู้ต้องขังเข้าใหม่ จะถูกส่งตัวเข้าคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลาซึ่งยังปลอดเชื้ออยู่ ส่วนผู้ต้องขังหญิง จะนำส่งที่ทัณฑสถานหญิงสงขลาเช่นเคย โดยจัดพื้นที่ส่วนควบคุมใหม่ที่แยกประตูเข้า-ออกจากทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อในการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายต่อจากนี้จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ซึ่งจะมีขั้นตอนการกักโรคและตรวจเชื้อผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่พบการติดเชื้อในเรือนจำ/ทัณฑสถานหลายแห่ง อาจจะทำให้ญาติผู้ต้องขังหลายท่านเกิดความกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะในผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) หรือศูนย์ CARE ในทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน ทำหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสาร รวมถึงเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่ญาติที่ทำการสอบถามเข้ามา ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊กของเรือนจำ/ทัณฑสถาน ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ญาติผู้ต้องขังไปแล้ว 61,890 ราย เป็นการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ 17,610 ราย ผ่านช่องทางไลน์ 21,569 ราย และช่องทางเฟซบุ๊ก 22,711 ราย โดยเป็นเรือนจำที่พบการระบาด 23,050 ราย และเรือนจำที่ไม่พบการระบาด 38,840 ราย


ทั้งนี้ หากญาติผู้ต้องขังท่านใดต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ศูนย์ CARE ทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน หรือ ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) หมายเลข 02-9673383, 02-9672222 ต่อ 199 หรือ ค้นหาช่องทางติดต่อเรือนจำ/ทัณฑสถาน ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ กรมราชทัณฑ์ ID : @thaidoc หรือ Facebook : ประชาสัมพันธ์ กรมราชทัณฑ์ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ค้น 17 จุดกรุงเทพฯ-ลพบุรี คุมตัว “หลวงพ่ออลงกต-หมอบี”

26 ส.ค.- ตำรวจสอบสวนกลาง ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด “กรุงเทพฯ-ลพบุรี” บุกรวบ “หลวงพ่ออลงกต” หลังพฤติกรรมชัดทุจริตยักยอกเงินบริจาค ขณะที่ “หมอบี” โดนด้วย หิ้วตัวเค้นสอบ เมื่อเวลา 01.00 น.วันที่ 26 ส.ค. มีรายงานว่าทางตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รองผบช.ก. พล.ต.ต. วิทยา ศรีประเสิรฐภาพ ผบก.ป.พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปปพ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป ปิดล้อมตรวจค้น 17 จุด ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ลพบุรี เพื่อควบคุม หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี และนายเสกสันน์ หรือหมอบี และพวก ตามหมายจับ ความผิด ม.147, 157 […]

ศาล รธน. สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก”

ศาล รธน. 25 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งเอาผิดเผยแพร่คลิป “นั่งลงลูก” ชี้บิดเบือน-ทำเสียหาย ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกเอกสารข่าว ระบุว่า ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 ไต่สวนพยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียกมาให้ถ้อยคำ จำนวน 2 ปาก ได้แก่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้อง และนายฉัตรชัย บางขวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เรื่อง ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนแล้ว ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่ และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายในลักษณะที่สร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน อันเป็นคำสั่งศาลตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 […]

“แพทองธาร” รีโพสต์โต้คลิปบิดเบือน ยันศาลบอก “นั่งลงครับ”

กรุงเทพฯ 25 ส.ค.- “แพทองธาร” รีโพสต์สตอรี่ไอจี โต้ดรามาคลิปบิดเบือน ยันศาล รธน. บอก “นั่งลงครับ” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รีโพสต์สตอรี่ในอินสตราแกรมของสำนักข่าว VOICE TV ยืนยันไม่เป็นความจริง ต่อกระแสดรามาปล่อยคลิปเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พูดว่า “นั่งลงลูก” ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวคําปฏิญาณ ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญไต่สวนพยาน คดีคลิปสนทนากับ ฮุน เซน เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งในคลิปดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ฟังชัดๆๆ ศาลบอกว่า “นั่งลงครับ” ไม่ใช่ “นั่งลงลูก” อย่างที่มีคนปั่น!! อย่ามั่ว อย่าบิดเบือนข่าว อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) นางสาวแพทองธาร จะดำเนินการเรื่องการส่งคำแถลงปิดคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากศาลนัดยื่นคำแถลงปิดคดีภายในวันนี้ ก่อนจะนัดฟังคำวินิจฉัยในวันที่ 29 สิงหาคม เวลา 15.00 น.-316 -สำนักข่าวไทย

ปลัด มท. สั่งสอบด่วน ปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ

ไอคอนสยาม 25 ส.ค.- ปลัด มท. เผยยังไม่ได้รับรายงานปมสแกนม่านตาแลกเหรียญ สั่งกรมการปกครองสอบด่วน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่มีรายงานว่า มีกลุ่มบุคคลสแกนม่านตาประชาชนและชักชวนให้เข้าไปใช้แอปพลิเคชันเพื่อแลกกับเงินหรือเหรียญในระบบ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน แต่หากเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง กระทรวงมหาดไทยจะสั่งการให้กรมการปกครองดำเนินการแก้ไขและจัดการอย่างถูกต้องทั่วประเทศอย่างไรก็ตาม หากประชาชนพบเห็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง สามารถแจ้งเรื่องมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ทุกจังหวัดดำเนินการตรวจสอบตามข้อเท็จจริง ส่วนกรณีที่มีรายงานว่ายังมีการดำเนินการในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่าจะเร่งตรวจสอบทั้งที่สุราษฎร์ธานีและทุกจังหวัดที่ได้รับเรื่องร้องเรียน ทั้งนี้ การตรวจสอบจะพิจารณาว่าความผิดปกติเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่น หากพบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทรวงมหาดไทยจะดำเนินการตามระเบียบอย่างเคร่งครัด โดยย้ำให้ประชาชนมั่นใจว่า กระทรวงพร้อมตรวจสอบอย่างโปร่งใส.-319 -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ชาวบ้าน-พระ เดือดร้อน

สุโขทัย 28 ส.ค. – หลายพื้นที่เมืองสุโขทัย จมอยู่ใต้น้ำและขยายวงกว้าง แม่น้ำยมล้นพนังกั้นน้ำ ด้านหลังวัดปากแคว พระและชาวบ้าน ช่วยกันขนสิ่งของหนีน้ำ ภาพมุมสูง เผยให้เห็นสภาพน้ำท่วมสูงภายในวัดปากแคว และบริเวณโดยรอบ ทหารนำกำลังพล 22 นาย ลงพื้นที่ช่วยเหลือ พระวัดปากแคว ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 2 หมู่ 4 ต.ปากแคว 4 ชุมชน ในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ถูกน้ำท่วมขยายวงกว้าง รถยนต์จมน้ำหลายคัน ด้านหลังวัดปากแคว อำเภอเมือง แม่น้ำยมผนังกั้นน้ำล้นตลิ่ง มวลน้ำมหาศาล ทะลักเข้าท่วมเต็มพื้นที่ ระดับน้ำสูงรอบวัดเกือบ 2 เมตร ทะลักเข้าท่วม ไหลข้ามถนนจรดวิถีถ่อง ระยะทางกว่า 500 เมตร ต้องปิดกั้นถนนห้ามสัญจรไปมา พระครูปลัดสุวัฒนสาธุคุณ (พระอาจารย์นาค) เจ้าคณะตำบลบ้านกล้วย เจ้าอาวาสวัดพายชุมพล หลังทราบข่าว ระดับน้ำท่วม ในวัดปากแคว รีบนำอาหารกล่องพร้อมทั้งถุงยังชีพ เข้าไปถวายพระสงฆ์ 18 รูป ที่จำพรรษาอยู่ในวัดปากแคว เร่งหาผู้สูญหายที่แม่ฮ่องสอน […]

เร่งค้นหาอีก 3 ผู้สูญหายดินถล่มปางอุ๋ง ท่ามกลางความหวังของญาติ

28 ส.ค. – เข้าสู่วันที่ 2 ของเหตุดินโคลนถล่มบ้านปางอุ๋ง หมู่บ้านกลางหุบเขา อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ยังคงปฏิบัติการค้นหาผู้สูญหายอีก 3 ราย โดยระดมกำลังนับร้อยนายพร้อมเครื่องจักรเดินหน้าค้นหา ท่ามกลางบรรดาญาติที่เฝ้ารอด้วยความหวัง ล่าสุดวันนี้พบร่างผู้เสียชีวิตอีก 2 ราย ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้เพิ่มเป็น 6 ราย และยังสูญหายอีก 3 คน ขณะที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียบ้านที่อยู่มาหลายสิบปีและยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นสร้างขึ้นใหม่ได้อย่างไร.-สำนักข่าวไทย

ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. โผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด

กทม. 28 ส.ค.-ประชุม ก.ตร. ล่ม เลื่อนไป 31 ส.ค. หลัง “ภูมิธรรม” ถกลับ ผบ.ตร. นานหลายชั่วโมง เหตุมีหนังสือร้องเรียนจำนวนมาก ทำโผนายพล 136 ตำแหน่งสะดุด ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร. เป็นประธานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 7/2568 ณ ห้องประชุมศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 มีระเบียบวาระการประชุม 5 วาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ /วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม ก.ตร.ครั้งที่ 6/2568 /วาระที่ 3 เรื่องที่เสนอเพื่อทราบ เรื่องที่ 1 รายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร.สืบสวนสอบสวน ที่ ก.ตร. มอบหมายให้ทำการแทน […]

กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา เขต อ.อรัญประเทศ

สระแก้ว 23 ส.ค.-กองทัพไทย เคาะสร้างรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา จุดแรกบริเวณหลักเขตที่ 50-51 เขต อ.อรัญประเทศ ระยะทาง 10 กม. เชื่อเริ่มดำเนินการได้เป็นรูปธรรมภายในปีนี้ พลเอกมนัส จันดี เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทยพร้อมคณะลงพื้นที่เพื่อสำรวจแนวชายแดนตั้งแต่หลักเขตที่สี่ 48 ต่อเนื่องถึง 51 บริเวณพื้นที่บ้านป่าไร่ ถึงบ้านท่าข้าม ในเขต อ.อรัญประเทศ โดยการสำรวจดังกล่าวเพื่อเตรียมสร้างแนวกำแพงแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้ข้อสรุปเบื้องต้นบริเวณหลักเกณฑ์ที่ห้า 50 และ 51 ซึ่งไทยและกัมพูชาเห็นตรงกันแล้วในเรื่องเขตแดน จะสร้างเป็นรั้วถาวรเป็นจุดแรกระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ขณะบริเวณอื่นๆ ซึ่งยังมีการอ้างสิทธิ และยังไม่มีข้อสรุปเรื่องเขตแดนที่ชัดเจน เบื้องต้นก็จะสร้างเป็นแนวรั้วชั่วคราวด้วยวิธีการตัดถนนเลียบตลอดแนวชายแดนและวางรั้วลวดหนามหีบเพลงสามชั้น พร้อมติดกล้องวงจรปิดในจุดที่สามารถดำเนินการได้ ทั้งนี้เชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกำลัง รวมไปถึงการลาดตระเวนตรวจตรา นอกจากนี้การปรับพื้นที่ให้โล่งก็จะทำให้การลักลอบผ่านแดนตามช่องทางธรรมชาติยากขึ้น ซึ่งถือเป็นการสกัดกั้นทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปัญหาสแกมเมอร์ ได้ โดยการดำเนินการจะเริ่มต้นทันทีที่นำเรื่องเข้าขออนุมัติจากสภาความมั่นคงแห่งชาติและไม่ได้ติดขัดในเรื่องงบประมาณแต่อย่างใด เชื่อว่าภายในปีนี้น่าจะเห็นแนวรั้วกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มต้นเกิดขึ้นได้ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะมีการลงในรายละเอียดพื้นที่ต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนตามแนวชายแดนที่บางส่วนอาจได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็เชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเสียสละเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของส่วนรวม พลตรี วันชนะ สวัสดี ผู้อำนวยการสำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การทำรั้วตลอดแนวชายแดนไทยกัมพูชาเกิดขึ้นจากข้อเรียกร้องของประชาชน […]