กรุงเทพฯ 9 พ.ย.-สถาบันสุขภาพเด็กฯ เป็นห่วงสุขภาพเด็กเล็ก แนะพ่อแม่ดูแลสุขอนามัย หมั่นสอนเด็กล้างมือบ่อย ๆ หากไม่จำเป็นไม่ควรพาไปในสถานที่แออัด ส่วนใหญ่เป็นโรคที่มีอาการไม่รุนแรง สามารถหายได้เองและยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยารักษาเฉพาะ
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคมือ เท้า ปาก มักพบบ่อยในเด็กทารกและเด็กเล็ก ที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และอาจพบได้ประปรายในเด็กโต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็กที่เลี้ยงตามเนอสเซอรี่ หรือ โรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก อาจพบได้บ่อย เพราะมีการสัมผัสของเล่นร่วมกัน โรคมือ เท้า ปาก สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปีและอาจพบบ่อยในช่วงฤดูฝน ซึ่งโรคมือ เท้า ปาก เกิดจากเชื้อไวรัสในลำไส้ โดยเฉพาะไวรัสจะเข้าสู่ปากโดยการสัมผัสน้ำลาย น้ำมูก หรือน้ำตุ่มพองจากแผลของผู้ป่วย และหาก ไอ จาม รดกันก็สามารถติดต่อกันได้
นพ.อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากเด็กได้รับเชื้อไวรัส มือ เท้า ปาก 3 -6วัน จะเริ่มมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ต่อมาจะมีอาการเจ็บปาก กลืนน้ำลายลำบาก เบื่ออาหารและไม่ยอมทานอาหาร อาจเกิดจากมีตุ่มแดงขึ้นที่บริเวณลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม มีตุ่มพองใสแดงที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และสามารถพบได้ที่บริเวณ หัวเข่าทั้งสองข้าง หรืออาจขึ้นบริเวณก้นได้ ตุ่มแดงใสจะยุบและหายได้เองภายใน 7–10 วัน
โรคมือ เท้า ปาก นี้ ยังไม่มีวัคซีนป้องกันหรือยารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ โดยปกติโรคนี้มักไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองหากไม่พบภาวะแทรกซ้อน แต่อาจสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ปกครอง ฉะนั้นผู้ปกครองควรดูแลเด็กเล็กและบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีไข้สูง ซึม ไม่ยอมดื่มน้ำหรือทานอาหาร มีอาการอาเจียนร่วมด้วย เหนื่อยหอบ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนสมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอดได้ และส่งผลให้เด็กเสียชีวิต
วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน
- หมั่นล้างมือด้วยเจล แอลกอฮอร์ ทางที่ดีควรล้างด้วยสบู่และน้ำบ่อยๆ หรือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า และควรใช้ช้อนกลางในการตักอาหาร
- ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น ห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรค
5.หากเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ควรหยุดเรียน และพักผ่อนให้หายป่วยเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ไปแพร่เชื้อยังเด็กคนอื่น และต้องรีบแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบ และที่สำคัญผู้ปกครองต้องหมั่นสังเกตอาการของบุตรหลาน หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ควรพาเด็กมาพบแพทย์โดยเร็ว .-สำนักข่าวไทย