30บาทรักษาทุกที่คือภาคสอง 30บาทรักษาทุกโรค

ศูนย์ราชการฯ 5 พ.ย.- “อนุทิน” ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชน ลั่น 30 บาทรักษาทุกที่คือภาคสองของ 30 บาทรักษาทุกโรค นำร่องใน กทม.และตั้งเป้าขยายไปทั่วประเทศภายในปี 65 พร้อมยกระดับให้ผู้ป่วยมะเร็งเข้ารักษาได้ทุก รพ.ที่มีความพร้อมเพื่อลดระยะเวลารอคิวเป็นของขวัญปีใหม่แก่ผู้ป่วยตั้งแต่ 1ม.ค.64 เป็นต้นไป


นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับบัตรทอง 4 บริการ สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่”ในการประชุมสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาคประชาชนยกระดับบัตรทอง 4 บริการ สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ซึ่งจัดขึ้นโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) วันนี้ (5 พ.ย.) โดยระบุว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา สปสช.ได้ทำสิ่งที่ควรจะให้เกิด ก็คือรักษาทุกโรค จนถึงวันนี้ 30 บาทรักษาทุกโรคสามารถรักษาได้ทุกโรคจริงๆ และตนให้สัญญาว่า 30 บาทรักษาทุกโรค จะพัฒนาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ รวมทั้งมีการพัฒนาบริการอื่นๆ รวมเป็น 4 เรื่องเพื่ออำนวยความสะดวกดูแลรักษาบริการประชาชนให้เข้าถึงการบริการได้มากขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น

“30บาทรักษาทุกที่จะเป็นภาค 2 ของ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยบริการที่ยกระดับคือเจ็บป่วยทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ป่วยอาการหนัก สามารถใช้บริการของหน่วยบริการปฐมภูมิได้ทุกที่ตั้งแต่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมาในเขต กทม.ก่อน และตั้งเป้าไว้ว่าในปี 2565 จะขยายไปทุกจังหวัดของประเทศ” นายอนุทิน กล่าว


นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อพูดถึงเรื่องการยกระดับบัตรทอง ความเข้าใจง่าย ๆ คือในเมื่อ 30 บาทรักษาทุกโรคแล้ว เพราะบางครั้งคนที่ไปทำงานต่างภูมิลำเนา เมื่อเจ็บป่วยต้องรับการรักษาก็ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ มากมาย ทำไมไม่รักษาทุกที่ไปด้วย ทำไมไม่ใช้ฐานข้อมูลเชื่อมโยงกัน ป่วยที่ไหนเข้ารับบริการที่นั่นได้เลย และไม่ต้องกังวลว่าคนจะเข้าแต่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือเมื่อ สปสช.บอกว่ายินยอมให้รักษาทุกที่ ทางกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีโรงพยาบาลแทบทุกอำเภอ ก็ต้องยกระดับโรงพยาบาล ยกระดับการให้บริการประชาชนด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องไม่มีคำว่าโรงพยาบาลใหญ่โรงพยาบาลเล็ก จะต้องมีแต่คำว่าโรงพยาบาลดี โรงพยาบาลเจ๋ง โรงพยาบาลที่รักษาคนไข้ได้มากที่สุด

นายอนุทิน ขยายความว่าสำหรับการรักษาทุกที่ก็คือโรคทั่วไป เบาหวาน ความดัน หัวใจ หวัด ไข้ แบบนี้ไปรักษาทุกที่ได้ โดยเพิ่มโรคยากๆ เข้าไปด้วยคือมะเร็ง เพราะผู้ป่วยโรคมะเร็งถ้าไม่เปิดให้รักษาทุกที่ ต้องรอคิว บางครั้งไม่ทันได้รักษาก็เสียชีวิตไปก่อน ดังนั้นประชาชนที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จะสามารถตรวจและรักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่มีความพร้อม ไม่ต้องรอคิวเหมือนที่ผ่านมา ไม่ต้องถูกจำกัดการใช้สิทธิ์ตามหน่วยบริการที่ลงทะเบียนไว้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64 เป็นต้นไปเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับผู้ป่วยมะเร็ง

“กระทรวงสาธารณสุขได้ใช้โอกาสในช่วงนี้จัดหาเครื่องฉายรังสีมะเร็งอีก 7 เครื่องเพื่อไปไว้ตามศูนย์มะเร็งทั่วประเทศ ด้วยความหวังว่าจากนี้ไปผู้ป่วยที่ต้องรับการฉายรังสีด้วยโรคมะเร็งจะสามารถไม่ต้องเดินทางไกลไปมาและคิวก็จะน่าจะสั้นลง ซึ่งเมื่อเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีอนุมัติโดยไม่ถามสักคำ” นายอนุทิน กล่าว


นอกจากนี้ในส่วนของผู้ป่วยในก็จะสามารถใช้บริการหน่วยบริการใดหรือโรงพยาบาลใดก็ได้โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวหรือต้องรอเอกสารส่งตัวซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบว่าใช้เวลานานมาก โดยจะเริ่มในเขตสุขภาพที่ 9 ประกอบด้วย จ.นครราชสีมา จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ และ จ.ชัยภูมิ ก่อน และตั้งเป้าให้ครอบคลุมทั้ง12 เขตสุขภาพทั่วประเทศในปี 2565 เช่นกัน รวมทั้งและเรื่องการแจ้งเปลี่ยนหน่วยบริการประจำโดยไม่ต้องรอระยะเวลาเกิดสิทธิ แจ้งย้ายแล้วเดินไปที่ไหนได้เลยไม่ต้องรอการอนุมัติ โดยขณะนี้กำลังเร่งยกระดับฐานข้อมูล และพร้อมจะให้บริการได้ในวันที่ 1 ม.ค.64 เป็นต้นไป

“การยกระดับ4 บริการนี้จะเป็นการพัฒนางานบริการด้านสาธารณสุขของประเทศไทยให้เป็นการบริการที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกดูแลรักษาบริการประชาชนให้เข้าถึงการบริการได้มากขึ้น ง่ายขึ้น สะดวกขึ้นและหวังว่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้ให้ความใส่ใจในเรื่องสุขภาพของประชาชนเต็มที่ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีไปจนถึงคณะรัฐมนตรีทุกคน ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาธารณสุข ขอเพียงมีเหตุผลที่จำเป็น คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยความเชื่อและมุ่งหวังว่าเมื่อประชาชนคนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง มีความเข้าใจระบบการสาธารณสุข มีความเข้าใจเรื่องการรักษาตัวเองแล้ว ประเทศไทยจะมีความเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน ทั้งสังคม ทางเศรษฐกิจ และความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ ถ้ามีจิตใจที่ดีมีสุขภาพที่ดี มีระบบการรักษาที่ดี ทุกคนก็อยากจะไปทำมาหากินสร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับครอบครัว และประเทศไทยจะพลิกฟื้นจากวิกฤตโควิดก่อนคนอื่น” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวทิ้งท้ายว่าในส่วนประชาชนในพื้นที่ กทม.ต้องขออภัยกับปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องคลินิกชุมชนอบอุ่นแต่ยืนยันกระทรวงสาธารณสุขจะทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ สปสช. เต็มที่ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ทั้งกระทรวงสาธารณสุขและ กทม. รีบเอาหน่วยงานในสังกัดเข้ามาให้บริการเพื่อให้เกิดความไม่สะดวกน้อยที่สุดและขอให้มั่นใจว่าทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น

น.ส.ณัฐวดี มิ่งชัย ตัวแทนภาคประชาชน ศูนย์ประสานงานหลักประกันสุขภาพภาคประชาชน หน่วยรับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 50 (5) และเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข (อสส.) กล่าวขอบคุณนายอนุทินที่ช่วยจัดการปัญหาการทุจริตของหน่วยบริการที่เข้าร่วมโครงการหลักประกันสุขภาพอย่างจริงจัง ซึ่งแม้ว่าจะกระทบกับการรับบริการของประชาชนในพื้นที่ กทม.บ้าง แต่เชื่อว่าเป็นภาวะว่าชั่วคราว

“แม้จะเกิดปัญหาอยู่บ้างแต่ สปสช.ร่วมกับภาคประชาชนก็ได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาเป็นอย่างดี เราถือว่าวิกฤติครั้งนี้เป็นโอกาสในการปรับระบบบริการใหม่โดยเฉพาะการให้ผู้ใช้สิทธิไปรับบริการในคลินิกปฐมภูมิคลินิกชุมชนอบอุ่นในเครือข่ายได้ทุกแห่ง เชื่อว่าจะทำให้คนใน กทม.ที่ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพจะสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น พวกเราภาคประชาชนจะช่วยกันสื่อสารให้ชุมชนได้รับทราบนโยบายที่เป็นประโยชน์นี้ รวมทั้งต้องขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงสาธารณสุข กทม. และ สปสช.ที่ได้ชี้แจงทำความเข้าใจและเชิญภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา เราจะจับมือเดินไปด้วยกัน” น.ส.ณัฐวดี กล่าว .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

ฝนถล่มเชียงใหม่ ประกาศปิดน้ำตกแม่สา ส่วนวัดผาลาด เตือนน้ำป่าหลาก

เชียงใหม่ 22 ก.ย.-ฝนถล่มเชียงใหม่ อุทยานฯ ดอยสุเทพ-ปุย ประกาศปิดน้ำตกแม่สา อ.แม่ริม ชั่วคราว หลังน้ำป่าไหลหลาก ส่วนวัดผาลาด แจ้งเตือนชาวบ้านรับมือน้ำป่าหลากลงน้ำตกผาลาด ช่วงบ่ายวันนี้ ( 22 กันยายน) เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ เพจเฟซบุ๊ก อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย ได้โพสต์ข้อความประกาศปิดน้ำตกแม่สา ในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ชั่วคราว เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเกิดเหตุน้ำป่าไหลหลากลงมาจนน้ำมีสีน้ำตาลขุ่น กระแสน้ำไหลแรงและเชี่ยวกราก โดยจะปิดน้ำตกแม่สาตั้งแต่วันนี้จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่สภาวะปกติ ขณะที่พระมหาสง่า ไชยวงค์ เจ้าอาวาสวัดผาลาด ก็ได้โพสต์คลิปภาพวิดีโอ พร้อมข้อความ “มวลน้ำจากยอดดอยกำลังผ่านวัดผาลาด ญาติโยมด้านล่างช่วงนี้ก็เฝ้าไว้เน้อ” ซึ่งทางวัดผาลาดจะมีการแจ้งเตือนชาวบ้านที่อยู่ใกล้ทางน้ำไหลน้ำตกผาลาด และบริเวณเชิงดอยสุเทพในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้เฝ้าระวังน้ำป่าที่ไหลผ่านวัดลงสู่ด้านล่างทุกครั้ง สำหรับวัดผาลาดตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นดอยสุเทพ และมีน้ำตกผาลาดไหลผ่านพื้นที่วัดช่วงที่เกิดฝนตกหนัก จะมีน้ำป่าไหลหลากจากบนดอยสุเทพผ่านน้ำตกผาลาด ก่อนจะไหลลงสู่พื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่.-สำนักข่าวไทย

กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ชี้ JBC รับรองแล้ว

กทม. 22 ก.ย.- กองทัพไทย ย้ำบ้านหนองหญ้าแก้วอยู่เขตแดนไทย ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน ชี้ JBC รับรองแล้ว สอดคล้อง MOU 2543 พล.ต.วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย เปิดเผยถึงประเด็นหลักเขตแดนที่ 42 และ 43 ในพื้นที่ อ.โคกสูง จ.สระแก้วว่า หลักเขตแดนที่ 42 ตั้งอยู่ที่บ้านหนองหญ้าแก้ว (บ้านไปรจัน) ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และหลักเขตแดนที่ 43 ตั้งอยู่ที่บ้านโนนหมากมุ่น ต.โคกสูง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยการกำหนดแนวเขตแดนในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเส้นตรงจากหลักเขตแดนที่ 41 มายังหลักเขตแดนที่ 42 และต่อเนื่องไปยังหลักเขตแดนที่ 43 จากนั้นแนวเขตแดนจะไปตามคลองระลมระสือจนถึงหลักเขตแดนที่ 44 สำหรับกระบวนการสำรวจ ชุดสำรวจร่วมไทย–กัมพูชาได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 1 ของ TOR คือ การสำรวจสภาพ และที่ตั้งของหลักเขตแดนทั้งหมด 74 หลัก ตั้งแต่ปี พ.ศ. […]

ทีมทนายวัดนาป่าพง หอบเอกสารเข้าพบกองปราบ

22 ก.ย.- ทีมทนายวัดนาป่าพง หอบเอกสารเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบ ขณะที่สีกาเยอรมนีเตรียมนั่งเครื่องเข้าพบตำรวจ 2 ต.ค.นี้ หลังจากที่นายนันทน อินทนนท์ ทนายความวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี พร้อมทีมทนายความ ได้มีการตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงประเด็นที่ น.ส.ทองใหม่ ขวัญหมื่น หรือ ทนายอุ้ม ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากสีกาจากประเทศเยอรมนี เข้ามาร้องเรียนที่กองบังคับการปราบปราม กล่าวหาว่า พระคึกฤทธิ์ ยักยอกเงินวัด ก่อนนำมาฟอกกับมูลนิธิพุทธวจนที่ประเทศเยอรมนีนั้น ความเคลื่อนไหวล่าสุดวันนี้ (22 ก.ย.68) เวลา 10.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม กองกำกับการ 2 นายนันทน อินทนนท์ ทนายความวัดนาป่าพง จ.ปทุมธานี และทีมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยนำเอกสารเป็นพยานหลักฐานเกี่ยวกับเส้นเงิน เงินบริจาคภายในวัด มามอบให้กับพนักงานสอบสวน เพื่อชี้แจงในประเด็นต่างๆ โดยใช้เวลาในการชี้แจงกับพนักงานสอบสวนไม่ถึง 1 ชั่วโมง ก่อนจะเดินทางกลับทันที และไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด หลังจากนั้นทีมข่าวได้ติดต่อไปที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบเส้นทางการเงินของวัดนาป่าพง โดยเฉพาะเงินที่เปิดรับบริจาคทั่วประเทศ หากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดจริง […]

อยุธยาอ่วม! มัสยิด-บ้านริมน้ำเจ้าพระยา ถูกน้ำท่วมสูง

อยุธยา 22 ก.ย. – จ.พระนครศรีอยุธยา อ่วม! น้ำท่วมขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิด ระดับน้ำเพิ่มสูงต่อเนื่อง ขณะที่เขื่อนป่าสักชลฯ เตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำอีกตั้งแต่ 24 ก.ย.นี้ เตือนน้ำล้นตลิ่งพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อน สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา ขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ 103 ตำบล 626 หมู่บ้าน รวมกว่า 31,227 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ โดยพื้นที่ ต.ภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิดดารุซซุนนะห์ ซึ่งอยู่นอกคันกั้นน้ำ ถูกน้ำเอ่อท่วมและระดับน้ำยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง ชาวบ้านสัญจรลำบาก บางจุดต้องใช้เรือ ต้องเดินลุยน้ำเข้า-ออกบ้านและมัสยิด ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบลภูเขาทอง เร่งนำไม้มาทำสะพานชั่วคราว ให้ประชาชนเดินเข้ามัสยิดเพื่อประกอบพิธีละหมาดได้ พร้อมเร่งตัดต้นไม้และกำจัดวัชพืช ให้เรือสัญจรได้สะดวก และเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด เนื่องจากระดับน้ำเจ้าพระยายังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง นายธีรยุทร อายุ 43 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า บ้านถูกน้ำท่วมเกือบถึงเอว ลำบากมาก […]