มูลนิธิเพื่อผู้บริโภควิตกเยาวชนจำนวนมากถูกหลอกลวงทำธุรกรรมการเงิน

21 ก.ค. – มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แฉเหตุน่าวิตกเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี จำนวนมากถูกหลอกลวงทำธุรกรรมการเงิน ส่วนด้านอสังหาริมทรัพย์ คดี ออล อินสไปร์ สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล


มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยรวมเรื่องร้องเรียนช่วง 6 เดือนแรกของปี ภัยการเงินทางออนไลน์วิกฤตสุดเพราะเป็นเยาวชนอายุน้อยลงเรื่อย ๆ กว่าจะรู้ตัว ทำพ่อแม่เสี่ยงติดคุก วอนครอบครัวอย่าปล่อยเยาวชนทำธุรกรรมเพียงลำพัง นอกจากนี้ปัญหาคอนโดสร้างไม่เสร็จยังสุดช้ำ บริษัทเดิมโกงแล้วโกงอีก ด้วยนอมินีไม่ซ้ำหน้า วอนคนไทย ตัดสินใจซื้อเมื่อโครงการเสร็จ เพราะหากถูกโกงแล้ว ยากจะได้คืน

มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ในฐานะองค์กรสาธารณประโยชน์ ที่ทำงานคุ้มครองผู้บริโภคมานานกว่า 30 ปี พบว่าปัญหาที่เคยเกิดขึ้นยังคงเป็นเรื่องเดิมถึงแม้ได้รับการแก้ไขแต่ก็มีเหตุวนกลับมาอย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยเฉพาะการถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวงในหลากหลายรูปแบบ บางคนสูญเงินถึงขั้นหมดตัว หรือแม้แต่ปัญหาด้านสินค้าและบริการก็เช่นกัน ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ ได้รับสินค้าชำรุดบกพร่อง-ไม่ตรงปก รวมถึงปัญหาด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้ขายทิ้งงาน หรือเข้าข่ายมีเจตนาโกง


นางนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค กล่าวว่า ภาพรวมการทำงานรับเรื่องร้องเรียนของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 มีประเด็นที่น่าวิตกอย่างมาก นั่นคือ เยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี จำนวนมากถูกหลอกลวงทำธุรกรรมด้านการเงิน ยกตัวอย่างจากที่ฝ่ายพิทักษ์สิทธิฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียน เช่น นักศึกษาหญิงวัย 19 ปี ตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพ หลอกลวงไปเปิดซิมโทรศัพท์มือถือถึง 3 ค่าย ด้วยความที่อยากทำงานหารายได้พิเศษ จึงเปิดเฟซบุ๊ก จนไปเจอ ข้อความ “เงินเดือนหลักหมื่น! เป็นลูกจ้างบูธขายมือถือในห้างฯ รับทั้งแบบประจำและฟรีแลนซ์ ต้องการจำนวนมาก อายุ 18 ปีขึ้นไป สนใจติดต่อทางข้อความ Messenger” เป็นเพจเฟซบุ๊กหางานที่ไม่บอกตัวตนคนโพสต์ แต่ผู้เสียหายไม่ทันฉุกคิด จึงทักไปถาม ขั้นตอนการสมัคร ทางแก๊งมิจฉาชีพจึงหลอกเหยื่อว่า จะพาไปลงทะเบียนซิมกับค่ายมือถือเพื่อยืนยันตัวตน ถึงจะพิจารณารับเป็นพนักงาน เมื่อไปถึงศูนย์บริการมือถือ เจ้าหน้าที่ขอแค่บัตรประชาชนเด็กนำไปเปิดซิมจนเสร็จสิ้นทั้ง 3 ค่าย ส่วนซิมกลายเป็นว่ามิจฉาชีพที่มาด้วยเก็บไว้เอง จากนั้นต่างคนต่างแยกย้าย โดยที่เด็กไม่รู้ตัวตนมิจฉาชีพรายนี้แม้แต่นิดเดียว มารู้ตัวว่าโดนหลอกเมื่อใบแจ้งหนี้ 3 ค่ายมือถือ รวมกว่า 20,000 บาทส่งถึงบ้าน เป็นยอดบิลที่เริ่มทำสัญญาเดือนเมษายน จนถึงเดือนมิถุนายน 2566 จากเหตุนี้ มีข้อสังเกตคือ มิจฉาชีพใช้วิธีวนหลอกเหยื่อให้เปิดซิมเพื่อเอามาใช้ฟรี พอครบ 3 เดือน ที่ไม่ได้จ่ายค่าบริการผู้ที่มีชื่อเปิดซิมจะถูกตัดสัญญาณอัตโนมัติ ส่วนยอดค่าใช้จ่ายจะตกเป็นของเด็กที่ตกเป็นเหยื่อ

อีกเหตุการณ์ที่เกิดกับนักศึกษาหญิงวัย 17 ปี รายหนึ่ง ได้รับการชักชวน จาก UP LINE ของบริษัทขายตรงมีการชี้ชวนขายฝัน จะได้เม็ดเงินมหาศาลจากงานนี้ ด้วยความที่อยากหารายได้จึงสมัครสมาชิก แต่สินค้าที่ถูกชักนำให้ขายมีราคาหลักหมื่น จึงไปกู้เงินจำนวน 15,000 บาท จากเพื่อนๆ ถึง 40 คน ที่ร่วมกันลงขันซึ่งคิดดอกเบี้ยถึงร้อยละ 10 แต่สุดท้ายขายสินค้าไม่ได้ ทำให้ติดหนี้เพื่อน จนคุณพ่อมารู้ภายหลังเพราะได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหนี้ จึงต้องเร่งไปปิดหนี้พบว่ายอดรวมเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเงินกว่า 40,000 บาท แต่ที่ตกใจยิ่งกว่า เมื่อลูกสาวยอมรับว่า ถูกเพื่อนชวนให้เล่นพนันออนไลน์ให้เอาเงินมาจ่ายหนี้ เจอเว็บพนันกินเงินอีก 10,000 บาท สรุปงานนี้ลูกสาวเจอค่าวิชาชีวิตจากธุรกิจขายตรง รวมเบ็ดเสร็จ 50,000 บาท ยังดีที่พ่อตัดวงจรความเสียหายได้ทัน พร้อมเรียกร้องให้บริษัทขายตรงรายนั้นอย่าเอาเด็กเป็นเครื่องมือทำธุรกิจ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นกระทำการเกินกฎหมายกำหนด ที่ห้ามเยาวชนอายุไม่เกิน 20 ปี ซื้อสินค้าราคาแพงด้วยเงินผ่อนโดยที่พ่อ-แม่-ผู้ปกครองไม่อนุญาต แต่อีกฝ่ายกลับตอบมาว่าไม่ใช่หน้าที่ต้องมาดูแล มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รับการร้องเรียนเรื่องนี้จากคุณพ่อของผู้เสียหายที่เป็นทนายความ เพื่อให้ช่วยเป็นกระบอกเสียงเตือนภัย เพราะการไปยื่นฟ้องกับบริษัทขายตรงจะจบความเสียหายที่แค่ 1 คน แต่เพราะเหตุการณ์แบบนี้ได้รับรู้ข้อมูลมาว่า มีเยาวชนติดกับดักธุรกิจขายตรงที่หลอกขายฝัน จนบางคนต้องไปกู้หนี้ยืมสิน เล่นการพนัน ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือบางคนถึงขั้นยอมขายตัว

จากปัญหาภัยการเงินที่เกิดกับเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงมีข้อเสนอให้ กสทช. ต้องกำกับดูแลให้โอเปอเรเตอร์ต้องควบคุมการซื้อซิมและโทรศัพท์ของเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ส่วน สคบ.ควรมีมาตรการตรวจสอบ และให้ผู้ประกอบธุรกิจขายตรงมีจรรยาบรรณในการทำธุรกิจ โดยไม่ทำธุรกิจกับเยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี


นายธนัช ธรรมิสกุล หัวหน้าฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ส่วนข้อร้องเรียนด้านอสังหาริมทรัพย์คดีออล อินสไปร์ ถือว่าสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคเพราะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล เหตุการณ์นี้มีผู้เสียหายหลายร้อยคน ที่ซื้อคอนโดมิเนียมจาก 5 โครงการทั่วกรุงเทพฯ ที่ก่อสร้างโดย บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวเมื่อกลางปี 2565 ที่ผู้บริโภคพากันโพสต์แฉ “คอนโดฯ 4 ปี มีแต่โครง จ่ายเงินไปแล้วแต่สร้างไม่เสร็จ” มีผู้เสียหายมาร้องเรียนกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ถึงแม้ทำหนังสือแจ้งอีกฝ่ายมาเจรจากลับได้แต่ความเพิกเฉย และแม้ว่ามีมาตรการกดดันบุกไปถึงบริษัท ก็ได้แค่รับปากยอมทำสัญญาจ่ายหนี้เป็นรายเดือน ตั้งแต่ 1-12 เดือน สูงสุด 12 เดือน ตามเงื่อนไขของแต่คน แต่สุดท้ายจ่ายแค่งวดเดียว จากนั้นย้ายสำนักงานใหญ่หนี โดยไม่ยอมแจ้งให้เจ้าหนี้รับรู้ ที่สำคัญยังขายโครงการที่ลาซาลได้เงินไปเกือบ 500 ล้านบาท แต่กลับไม่ยอมชำระหนี้ จนสุดท้ายผู้เสียหาย จำนวน 32 ราย มูลค่าเสียหายรวมกว่า 11 ล้านบาท จึงพากันยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 20 ก.ค.66 ที่ผ่านมา เพื่อเรียกเงินคืนทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยและเชิงลงโทษ ทั้งนี้ จากประมาณการความเสียหายในภาพรวมของ 5 โครงการคอนโดมิเนียม ออล อินสไปร์ เกือบพันล้านบาท เพราะมีผู้เสียหายมาร้องเรียนที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กว่า 100 คน นอกจากผู้เสียหาย 32 ราย ที่ฟ้องศาลลอตแรกยังมีผู้เสียหายลอต 2 ที่เตรียมยื่นฟ้องศาล ซึ่งมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคอยู่ระหว่างดำเนินการ ล่าสุดยังได้รับการประสานจากชาวจีนที่เป็นผู้เสียหายจากคอนโดฯ ออล อินสไปร์ มาร้องขอความช่วยเหลือ สำหรับผู้เสียหายจากโครงการ ออล อินสไปร์ สามารถเข้ามาร้องเรียนเพิ่มเติมได้

จากเหตุนี้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค จึงขอเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต้องบังคับให้บริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีระบบการทำสัญญาคุ้มครองผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.การดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ.2551 (Escrow Law) รวมถึงขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ หรือหน่วยงาน, สมาคมฯ เป็นตัวแทนควบคุมดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึง มิถุนายน 2566 ฝ่ายพิทักษ์สิทธิฯ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้รับเรื่องร้องเรียน พบผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินต่อเนื่องรวม 894 เรื่อง เรื่องร้องเรียนสูงสุด 3 ลำดับแรกคือ 1.สินค้าและบริการทั่วไป 319 เรื่อง 2.การเงินการธนาคาร/ประกัน 135 เรื่อง 3.บริการขนส่งและยานพาหนะ 83 เรื่อง มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 744 เรื่อง และกำลังดำเนินการ 150 เรื่อง การเข้าช่วยเหลือมูลนิธิฯ ดำเนินการหลายรูปแบบ ทั้งประสานผู้จัดคอนเสิร์ต Mark Tuan เปิดระบบคืนเงินให้กลุ่มผู้ร้องเรียน เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยให้บริษัทประกันชดเชยเงินเพิ่มให้ผู้เสียหายจาก 50,000 บาท เป็น 130,000 บาท เป็นอุบัติเหตุรถ และไกล่เกลี่ยให้ “บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)” ชดเชยค่าน้ำประปาให้ลูกบ้านจำนวน 13,000 บาท จากเหตุท่อประปาแตกเพราะปัญหาโครงสร้างบ้าน และไกล่เกลี่ยให้บริษัทเนอร์สเซอรี่ อิชิ นิ ซัน จำกัด คืนเงินให้ผู้รับการบริการ 89,000 บาท จากการจัดส่งพี่เลี้ยงที่ไม่ได้คุณภาพตามสัญญา รวมถึงการการฟ้องคดีให้ผู้เสียหายรวม 32 คน จากกรณีสร้างคอนโดไม่แล้วเสร็จในวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา

ส่วนปัญหาอสังหาริมทรัพย์ มีสภาพไม่แตกต่างกัน ได้รับการร้องเรียน ทั้งปัญหาอาคารชุดที่ชำรุดบกพร่อง การสร้างก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ผิดกฎหมาย ผู้รับเหมาก่อสร้างทิ้งงาน สร้างไม่เสร็จตามสัญญา นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านบริการสาธารณะและยานพาหนะ เช่น ผู้บริโภครถโดยสารสาธารณะประสบอุบัติเหตุไม่ได้รับการชดเชยเยียวยา

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาผู้บริโภคหลากหลายด้าน ฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ซึ่งเป็นหน่วยงานภายในมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ดำเนินการรับเรื่องร้องเรียนและการแก้ไขปัญหาของผู้บริโภคให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิอันพึงมีพึงได้ของตนเอง ทำหน้าที่ให้ข้อมูล คำแนะนำ วิธีการ แนวทางในการแก้ไขปัญหา การให้ความช่วยเหลือสนับสนุนให้ผู้บริโภคที่มีปัญหาลักษณะเดียวกันรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องสิทธิ การเจรจาไกล่เกลี่ยกับผู้ประกอบการ และการสนับสนุนการฟ้องคดีของผู้บริโภค ตลอดจนการฟ้องคดีสาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งผลการดำเนินงานใน 6 เดือนแรกของปี ได้รับเรื่องร้องเรียน 894 เรื่อง มูลนิธิฯ ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ 744 เรื่อง ดำเนินการสำเร็จมากกว่าร้อยละ 83 นอกจากนี้ นางสาวณัฐวดี เต็งพานิชกุล นักกฎหมาย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค รายงานต่อว่า นอกจากการทำงานดังกล่าว ในปี 2566 นี้ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้เริ่มทำงานในฐานะศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม โดยได้ดำเนินการเจรจาไกล่เกลี่ยเรียกร้องค่าเสียหายให้กับผู้บริโภคที่จ่ายเงินค่าสมัครวิ่ง กรณีวิ่งเทรลเกาะช้าง โดยผู้บริโภคและผู้จัดงานวิ่งสามารถมีข้อตกลงร่วมกันได้

สำหรับผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ สามารถปรึกษาและร้องเรียนได้ที่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค 4/2 ซอยวัฒนโยธิน แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ติดต่อร้องทุกข์(ศูนย์พิทักษ์สิทธิ) โทร 02-248-3737, 089-788-9152 หรือ complaint@consumerthai.org

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ไทยฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่ง

กทม. 9 ส.ค.-กรมอุตุฯ รายงาาน 10-15 ส.ค. ไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น ตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนกรุงเทพฯ และปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 30% ของพื้นที่ กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นได้ในบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเดินเรือในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย อนึ่ง ในช่วงวันที่ 10 – 15 ส.ค. ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากจะมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทย 06:00 น. วันนี้ ถึง 06:00 น. […]

“วัดพระบาทน้ำพุ” แจงเงินวัด เข้าแล้วออกไปไหน

ลพบุรี 8 ส.ค. – หลังจากมีกระแสข่าวเกี่ยวกับวัดพระบาทน้ำพุ ก็มีเสียงสะท้อนออกมาหลายแง่มุม ขณะที่บางส่วนตั้งคำถามเกี่ยวกับเงินวัดที่มีการเปิดรับบริจาค และการดูแลผู้ป่วยเอชไอวี ว่ายังมีความจำเป็นหรือไม่.-สำนักข่าวไทย

บุกจับเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.-กำนัน ทุจริตที่ดินเอื้อนายทุน

สระบุรี 8 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” นำกำลังบุกจับเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.สระบุรี-กำนัน ร่วมกันทุจริตออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. 600-700 ไร่ เอื้อประโยชน์นายทุนสร้างบ้านพักหรู พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายฯ รมว.เกษตรและสหกรณ์ นำกำลังเข้าจับกุมนายวิชยุตม์ อายุ 42 ปี นายช่างสำรวจชำนาญงาน ขณะกำลังนั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องทำงาน ที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี และนายสิปปกร อายุ 57 ปี กำนัน ต.หนองย่างเสือ อ.หมวกเหล็ก ตามหมายจับศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐร่วมกันปฏิบัติหรือเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเจ้าพนักงานแต่กลับร่วมกันกระทำการรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ หลังพบใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเข้าบุกรุกหรือครอบครองที่ป่าไม้ในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีการตรวจสอบพบคาเฟ่ รีสอร์ตหรูแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ก่อสร้างบุกรุกผืนป่า จึงเร่งขยายตรวจสอบที่ไปที่มาของการเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าว กระทั่งพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับนายทุน ด้วยการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.4-01 เพื่อใช้อ้างสิทธิเข้าครอบครอง […]

ยิงกำนันเล้น

ออกหมายจับ “ไอ้ ด.” มือปืนขาเป๋ ยิงถล่มกำนันเล้น ตร.ไล่ล่ากระชั้นชิด

ตรัง 8 ส.ค. – ออกหมายจับ ไอ้ ด. มือปืนขาเป๋ ยิง M16 ถล่มดับกำนันเล้น จ.ตรัง เผยปมสังหารจากคนเคยช่วยเหลือกลับขัดแย้ง-ขู่ฆ่า ผู้การตรังเผยแกะรอยเบาะแสไล่ล่าเป็นประโยชน์ ติดตามตัวแบบหายใจรดต้นคอ ลั่นต้องจับให้ได้ ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดตรังเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ว่า จากกรณีคนร้ายชายในชุดดำสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้า ใช้อาวุธสงคราม M16 ยิงถล่มนายบัณฑิต รองพล หรือ กำนันเล้น อายุ 57 ปี กำนันตำบลนาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านอำเภอห้วยยอด จนเสียชีวิต กระสุนเจาะประตูรถฝั่งคนขับพรุน 15 นัด ปลอกกระสุนขนาด 5.56 ตกกระจายเกลื่อน เหตุเกิดช่วงเวลาประมาณ 01.00 น. วันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา บริเวณหน้าบ้านของนายบัณฑิต พื้นที่หมู่ 9 ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งเป็นช่วงระหว่างที่นายบัณฑิตเดินทางกลับจากงานเลี้ยงงานแต่งงาน […]