ศธ. 29 ธ.ค. – “ตรีนุช” รมว.ศึกษาธิการ ขอบคุณนายกรัฐมนตรี ไฟเขียวใช้งบกลาง 97 ล้านบาท เดินหน้าอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ เตรียมยนำร่องในสถานศึกษาสังกัด สอศ. 88 แห่ง ในปีงบฯ 2565 (ระยะที่ 1)
นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2565 ให้กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ดำเนินโครงการอาชีวะสร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนเพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ (อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ) โดยนำร่องในสถานศึกษาสังกัด สอศ.จำนวน 88 แห่ง ในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 (ระยะที่ 1) ก่อนแล้วให้กำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง สอศ.ได้เสนอคำขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 แต่ไม่ได้รับการพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ จึงไม่มีงบฯ ดำเนินโครงการฯ ในปีงบฯ 2566 นั้น
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่อง ศธ.จึงได้เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 99,960,000 บาท ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่าสำนักงบประมาณได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาแล้วเห็นชอบให้ ศธ. โดย สอศ.ใช้จ่ายจากงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายปีงบฯ 2566 ได้จำนวน 97,680,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนของนักเรียนในโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ โดยเบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป ส่วนค่าบริหารจัดการ จำนวน 2,280,000 บาท ให้ สอศ.ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบฯ 2566 ไปดำเนินการ
“ดิฉันขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่สนับสนุนโครงการอาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ ซึ่งการนำร่องระยะที่ 1 ในสถานศึกษาสังกัด สอศ.จำนวน 88 แห่ง เป็นวิทยาลัยเทคนิค 2 แห่ง วิทยาลัยการอาชีพ 39 แห่ง วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 47 แห่ง มีนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ในโครงการฯ รวมประมาณ 4,000 คน โดยนักศึกษาจะได้รับฟรีทั้งการเรียน ที่พัก อาหาร ครูดูแลหอพัก และกิจกรรมพัฒนาทักษะชีวิต ซึ่งขณะนี้ ศธ.ได้จัดทำรายงานการติดตามและประเมินผลโครงการฯ เบื้องต้นแล้ว ซึ่งจะได้นำเสนอ ครม.รับทราบเพื่อพิจารณาขยายผลการดำเนินโครงการฯ และขอรับการสนับสนุนงบประมาณในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งโครงการนี้ทำให้สามารถให้การช่วยเหลือเยาวชนในกลุ่มที่ตกหล่นจากระบบการศึกษา และกลุ่มที่ขาดโอกาสทางการศึกษา ยากจน ตลอดจนอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยการได้รับโอกาส ความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ และมีความเท่าเทียมกันทางการศึกษา” รมว.ศธ.กล่าว. -สำนักข่าวไทย