นครนายก 25 ก.พ. – ตำรวจยังไม่ฟันธงมูลเหตุจุงใจยิงถล่มรถนายก อบต.บางสมบูรณ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คน ส่วนหลักฐานที่มีอยู่ขณะนี้ยังตอบไม่ได้ว่าจะเพียงพอสาวไปถึงผู้จ้างวานหรือไม่
พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ประชุมร่วมกับชุดทำงาน คดีคนร้ายยิงถล่มรถนายก อบต.บางสมบูรณ์ ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ก่อนแถลงข่าวถึงความคืบหน้าของคดี ระบุว่าผู้ก่อเหตุที่เหลือตอนนี้มีนายบิ๊กและคนบงการ ซึ่งพอทราบมูลเหตุจูงใจในการก่อเหตุแล้ว มีหลายประเด็น ทั้งความโกธรแค้นส่วนตัว การเมืองท้องถิ่น และการร้องเรียนโครงการต่างๆ ซึ่งเรื่องแพก็เป็น 1 ในโครงการ ทั้งมีแนวโน้มมีเรื่องอื่นเพิ่มขึ้นมาอีก ขอเวลารวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน ตอนนี้ยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง โดยต้องขอความร่วมมือบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขณะนี้ ปปง. เข้ามาช่วยติตามเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบแล้ว
ส่วนรถที่ยึดได้ 3 คัน เป็นรถยนต์ที่ใช้ในวันก่อเหตุ และรถที่ใช้สลับเปลี่ยนก่อนและหลังเกิดเหตุ สำหรับรถกระบะที่พบจอดไว้ อ.บางน้ำเปรี้ยว คาดว่าเป็นของกลางที่ใช้ในการหลบหนี ขณะนี้อยู่ระหว่างติดตามข้อมูล จากการสอบถามผู้ต้องหาที่ติดตามตัวได้แล้ว 2 คน คือ นายธวัชชัย ศรีชาญ หนึ่งในผู้ต้องหาแก๊งยิงถล่มรถนายก อบต. และนายภูริวัฒ นิ่มเรือง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมากขึ้น ส่วนเรื่องการจะออกหมายจับเพิ่มหรือไม่ ในชั้นนี้ยังให้คำตอบไม่ได้
จากการสอบสวนและหลักฐานขณะนี้ยังไม่พบว่ามีส่วนเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกับอดีตนายก อบต.คนเก่า รวมทั้งผู้จ้างวาน อยู่ระหว่างสอบสวนขยายผล
รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยังบอกด้วยว่า การมาครั้งนี้นอกจากติดตามความคืบหน้าของคดีแล้ว ยังเตรียมการให้ภูธรภาค 2 และ สภ.ดงละคร รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โอนสำนวนไปยังส่วนกลางให้กองปราบปรามรับไปดำเนินการต่อ รวมถึงอำนาจการควบคุมตัวผู้ต้องหาด้วย
ส่วนที่บ้านของนายสมชาย ม่วงกาศ รองนายก อบต.บางสมบูรณ์ 1 ใน 2 คน ที่ถูกยิงด้วยปืนอาก้าเสียชีวิตในรถ และใช้เป็นสถานที่จัดงานศพ นายชัยสิทธิ์ ม่วงกาศ อายุ 43 ปี ลูกชาย บอกว่ายังกังวลใจกับการคลี่คลายคดี และกลัวว่าจะมีความพยายามในการขโมยศพ คล้ายกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 57 หลังงานศพได้นำศพพ่อไปเก็บไว้ที่ปลอดภัย ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่อุกอาจ มีการเตรียมการไว้ และไม่ขอออกความเห็น กรณีที่นายธวัชชัยและกุมารดำปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ .-สำนักข่าวไทย