พัทยา 25 ต.ค. – ประธาน กต.ตร.พัทยา ประสานเสียงสถานบันเทิงพัทยา ปฏิเสธวุ่น หลังโพยจ่ายส่วยแชร์ว่อนเน็ต ยืนยันไม่มีการจ่ายส่วยแน่นอน ภาพที่ปรากฏออกไปเป็นประชุมคณะ กต.ตร.สภ.เมืองพัทยาสัญจรเท่านั้น
จากกรณีจับกุมสถานบันเทิงเมืองพัทยา และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เมื่อมีการแชร์ภาพถ่ายแผ่นกระดาษที่มีการเขียนด้วยลายมือ ระบุรายชื่อสถานบริการ ประเภทผับดังๆ หลายแห่งในเมืองพัทยา พร้อมกับมีตัวเลขคล้ายกับยอดเงินตามท้ายชื่อของแต่ละร้าน ระบุจำนวนเงินตั้งแต่ 9,000 บาท ไปจนถึง 30,000 บาท โดยมีการลงคู่กับภาพถ่าย ซึ่งมีบุคคลที่ปรากฏในภาพคือ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กำลังนั่งรับประทานอาหารกับกลุ่มบุคคลสวมใส่เสื้อชุด กต.ตร.สภ.เมืองพัทยา ส่วนข้อความของภาพระบุ “พัทยาเก็บส่วยแบบนี้ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ธนนันท์ทวีสิน จะว่ายังไง”
ล่าสุดนางอำพร ประธานกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจแห่งชาติ (กต.ตร.) สภ.เมืองพัทยา พร้อมกับ นายชัยรันต์ รองประธาน กต.ตร.สภ.เมืองพัทยา เปิดโต๊ะแถลงข่าวยอมรับว่าบุคคลที่ปรากฏในภาพคือกลุ่มของคณะทำงาน กต.ตร.สภ.เมืองพัทยาจริง วันนั้นมีการจัดกิจกรรมประชุม คณะ กต.ตร.สัญจร โดยเชิญ พล.ต.ต.กิตติ์ธเนศ ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ซึ่งเพิ่งจะมารับตำแหน่งใหม่ พร้อมด้วยผู้ประกอบการในเมืองพัทยา มาประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและแนวทางการปฏิบัติ
นอกจากนี้ยังเชิญผู้ประกอบการมาร่วมประชุมด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับฟังแนวทางการปฏิบัตินโยบายของตำรวจ และปรับความเข้าใจอะไรหลายๆ เรื่องที่สถานประกอบการควรปฏิบัติตามกฎหมาย แต่พอมีภาพดังกล่าวหลุดออกไปและมีการสื่อไปในทิศทางที่ไม่ใช่ความจริง จึงทำให้รู้สึกไม่สบายใจ ยืนยันว่าภาพที่หลุดไปเป็นภาพการประชุมคณะ กต.ตร.สภ.เมืองพัทยาสัญจรเท่านั้น
สำหรับมีการเสนอภาพดังกล่าวมีการสื่อในทิศทางที่ผิดจากข้อเท็จจริง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพูดคุยเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มที่นำภาพไปเผยแพร่ จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง
ขณะที่นางลิซา ประธานชมรมผู้ประกอบการกลางคืนเมืองพัทยา และประธานผู้ประกอบการจอมเทียน-พัทยา กล่าวตัดพ้อกับผู้สื่อข่าวว่า เมืองพัทยากลับมาตกเป็นข่าวในด้านไม่ดีอีกครั้ง ทำให้รู้สึกตกใจ ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการเมืองพัทยาพยายามช่วยพัฒนาด้านการท่องเที่ยวให้ดีขึ้น อีกทั้งปัจจุบัน นักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาจำนวนมาก ผู้ประกอบการกำลังตื่นเต้นกับการทำมาหากิน แต่ต้องมาประสบเหตุการณ์ตามข่าว ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เนื่องจากตำรวจต้องกลับมาเข้มงวดขึ้นไปอีก แทนที่จะได้รับการผ่อนปรน ต้องกลับเดือดร้อนกันอีกครั้ง
ด้านเจ้าของสถานบริการ 2 รายที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในโพยที่ถูกอ้างว่าเป็นรายชื่อจ่ายส่วยสถานบริการให้กับเจ้าหน้าที่ ยืนยันตรงกันว่าไม่มีการจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่อย่างแน่นอน ถึงให้จ่ายคงจ่ายไม่ไหว เนื่องจากเป็นยอดที่สูง ทางร้านพยายามเข้มงวดตามนโยบายตำรวจที่ห้ามมีเรื่องเด็ก ยาเสพติด และอาวุธปืน กระทั่งมาเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ทำให้สถานบริการในเมืองพัทยาได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตสำหรับโพยส่วยดังกล่าวว่าจริงหรือไม่ เนื่องจากรายชื่อมีบางร้านมีการปิดตัวไปก่อนโควิดระบาด บางร้านถูกไฟไหม้ ปิดตัวไปแล้ว ยังพบว่ามีรายชื่ออยู่ในโพย แต่ร้าน โบนผับ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นคลับวัน ที่ปรากฏเป็นข่าว ยังมีรายชื่อจ่ายส่วย
ขณะที่นายนิติพัฒน์ อายุ 45 ปี และนายแบ้งค์ อายุ 46 ปี ผู้บริหารของผับคลับวัน และเป็นชายที่ปรากฏในคลิปปะทะคารม ระหว่างเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบผับ ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเปิดใจ ขอโทษสิ่งที่พูดไปในคลิปในวันเกิดเหตุ เพียงเพราะความเมา
ด้าน พล.ต.ท.ภานุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้รับมอบจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุวิมล รอง.ผบ.ตร. (ปป.) ให้เดินทางมาคุมสำนวนสอบสวนคดีคลับวัน ผับ กล่าวว่า กรณีที่มีชายแสดงพฤติกรรมเอะอะโวยวายเจ้าหน้าที่ ทำให้สะเทือนถึงความเชื่อมั่นของผู้บังคับใช้กฎหมาย จึงทำให้ ผบ.ตร. และรอง.ผบ.ตร. มีการกำชับสั่งการให้ดำเนินคดีกับทุกฝ่าย เบื้องต้นพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ดำเนินคดีกับนายมนู อายุ 37 ปี ผู้ดูแลผับดังกล่าว ข้อหากระทำความผิด พ.ร.บ.สถานบันเทิง และ พ.ร.บ.จำหน่ายสุรา แต่เมื่อจากดูคลิปในวันเกิดเหตุอย่างละเอียดอาจจะต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม อีกทั้งเตรียมประสานเมืองพัทยาเพื่อเข้าตรวจสอบในเรื่อง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ว่ามีการขออนุญาตใช้อาคารถูกต้องตามกฎหมาหรือไม่
นอกจากนี้เตรียมสอบสวนเจ้าของผับตัวจริง ซึ่งจากแนวทางการสอบสวนทราบว่าคือ “กู๋เอี๋ยว” ที่มีประวัติเกี่ยวข้องคดีฟอกเงินและยาเสพติด รวมถึงหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ ผกก.สภ.เมืองพัทยา รวบรวมสำนวนการสอบสวนทั้งหมด และเร่งทำเรื่องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี สั่งปิดสถานบันเทิงดังกล่าว 5 ปี ส่วนยาเสพติดจำนวนมากที่ตกอยู่ในผับให้ร่วมกับกองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบหารอยนิ้วมือแฝงและดีเอ็นเอ เพื่อพิสูจน์ทราบให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ
ส่วนกรณีชายที่ปรากฏในคลิปพูดพาดพิงถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ถือว่าให้เป็นเรื่องของผู้ที่ถูกพาดพิงจนได้รับความเสียหาย ใครที่เสียหายต้องไปดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมาย
ส่วนที่มีกระแสดราม่าเรื่องนักเที่ยวกว่า 200 คน ไม่ยอมให้ตรวจปัสสาวะ พากันแตกฮือออกจากผับ เมื่อดูจากคลิปพบว่ามีชายฉกรรจ์ 3 คน พยายามปลุกปั่นให้นักเที่ยวลุกฮือหนีออกจากผับ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ประเด็นนี้ตำรวจเตรียมดำเนินคดีกับชายทั้ง 3 คนที่ปรากฏในคลิป ในข้อกล่าวหา “ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่”.-สำนักข่าวไทย