ทร.ย้ำจีทูจีซื้อเรือดำน้ำถูกกฎหมาย

กองทัพเรือ 24 ส.ค.-กองทัพเรือยกทีมแถลงยันสัญญาซื้อเรือดำน้ำแบบจีทูจีถูกต้องตามกฎหมาย รัฐบาลจีนส่งผู้แทนร่วมลงนาม ย้ำ จำเป็นต้องมีปกป้องผลประโยชน์ชาติ ระบุ “ยุทธพงศ์” สร้างแตกแยก กองทัพเสียหาย เตรียมพิจารณาจะฟ้องหรือไม่


พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ แถลงข่าวกรณีการจัดหาเรือดำน้ำเข้าประจำการในกองทัพเรือ ว่า หลังจากที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทยเปิดเผยเรื่องเรือดำน้ำ สร้างความเสียหายต่อส่วนรวม สร้างความแตกแยก ก่อให้เกิดความเสียหายต่อกองทัพ การที่นายยุทธพงศ์ระบุว่าการซื้อแบบจีทูจีเป็นสัญญาเก๊นั้น น่าประหลาดใจ แต่ถ้าโครงการรับจำนำข้าวจึงจะเก๊ เพราะทำสัญญาจีทูจีไม่ถูกต้อง แต่กองทัพเรือทำสัญญาจีทูจีอย่างถูกต้องและโปร่งใส

“ขอสังคมอย่าตกเป็นเหยื่อทางการเมือง การหยิบยกว่าเรื่องใช้เงินจำนวนมาก 22,500 ล้านบาทไปจัดซื้อ เพราะไม่ได้จัดซื้อครั้งเดียวทั้งก้อน เป็นการทยอยจ่าย พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือจึงมอบหมายทีมงานให้มาชี้แจงข้อเท็จจริง ส่วนการแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน รัฐบาลมีงบประมาณในส่วนนี้อยู่แล้ว ในส่วนของกองทัพเรือก็เช่นกัน จึงต้องเดินหน้าต่อไปในการทำงาน ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง” โฆษกกองทัพเรือ กล่าว


ด้านพล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือ ชี้แจงว่าจากที่กองทัพเรือชี้แจงงบประมาณต่อคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ และมีคณะอนุกรรมาธิการฯบางคนนำข้อมูลมาแถลง แต่เป็นข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน อาจเป็นการหวังผลทางการเมืองที่ต้องการให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล จึงต้องนำข้อเท็จจริงมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ยืนยันว่ากองทัพเรือเล็งเห็นความสำคัญของเรือดำน้ำมาตลอด จึงได้จัดหาเรือดำน้ำตามแผนยุทธศาสตร์ป้องกันประเทศ แต่มักจะถูกโยงไปเป็นประเด็น ทางการเมือง ซึ่งการจัดหาเรือดำน้ำลำแรกเมื่อปี 2560 แต่จะรับเข้าประจำการในปี 2566 ก็ซื้อแบบจีทูจี หรือรัฐบาลกับรัฐบาล และขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำเพิ่มขึ้น

พล.ร.ท.เถลิงศักดิ์ ศิริสวัสดิ์ เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ เปิดวิดีทัศน์ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นการจัดหาเรือดำน้ำ ซึ่งเป็นวิดีทัศน์ที่ฉายให้คณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ฯ ได้รับชมในวันที่เข้าชี้แจงงบประมาณ โดยในวิดีทัศน์ดังกล่าวได้แสดงถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ประเทศไทยเคยมีเรือดำน้ำและสามารถข่มขวัญประเทศที่รุกรานน่านน้ำให้ถอยกลับไปได้

“กองทัพเรือพยายามจัดซื้อเรือดำน้ำมาหลายปี แม้จะยังไม่เห็นสงครามโลกในขณะนี้ แต่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในน่านน้ำ อีกทั้งสหรัฐส่งเรือรบเข้าไปในพื้นที่ทะเลจีนใต้มากขึ้น หากเราไม่มีกำลังที่เข้มแข็งเพียงพอ ผลประโยชน์ของชาติย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าในทะเลจีนใต้จะไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด ซึ่งผมเชื่อว่ามี และอย่าลืมว่าจัดซื้อวันนี้ อีก 6 ปีจึงจะได้เรือลำน้ำ ยืนยันว่าการจัดหาเรือดำน้ำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ” เจ้ากรมยุทธการทหารเรือ กล่าว


พล.ร.ท.ธีรกุล กาญจนะ ปลัดบัญชีทหารเรือ ชี้แจงเรื่องงบประมาณการจัดหาเรือดำน้ำสำรวจสองลำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจัดหาเรือดำน้ำจำนวนสามลำ ว่า ทยอยจ่ายทั้งหมด 7 ปี ตั้งแต่ปี 2560 ถึง 2566 ซึ่งเป็นการจัดหาต่อเนื่องเพื่อให้ครบสามลำ ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณที่เริ่มใหม่ในปี 2564 นี้ แต่เป็นโครงการการเสริมสร้างกำลังของกองทัพที่เริ่มตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2569 เป็นการทยอยตั้งงบประมาณรายปีภายในงบประมาณที่กองทัพเรือได้รับตามปกติ ไม่ได้ขอรับงบประมาณเพิ่มเติม และรายการนี้ได้ตราไว้แล้วในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563

“ตามกำหนดที่ต้องชำระใน 7 งวดที่ตั้งไว้ในตอนแรก ระบุไว้ว่า ในปี 2563 จ่ายวงเงิน 3,375 ล้านบาท ปี 2564 วงเงิน 3,925 ล้านบาท ปี 2565 วงเงิน 2,640 ล้านบาท ปี 2566 วงเงิน 2,500 ล้านบาท ปี 2567 วงเงิน 3,060 ล้านบาท ปี 2568 วงเงิน 3,500 ล้านบาท ปี 2569 วงเงิน 3,500 ล้านบาท แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด รัฐบาลได้ให้หน่วยงานราชการโอนงบประมาณคืนไปสำหรับแก้ไขปัญหาโควิด ซึ่งกองทัพเรือเล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าวจึงตัดลดงบประมาณที่ตั้งไว้ในปีงบประมาณ 2563 และจ่ายงวดแรกในวงเงินงบประมาณของปี 2564 แทน และไปจบงวดสุดท้ายในปี 2570” ปลัดบัญชีทหารเรือ กล่าว

พล.ร.ท.ธีรกุล กล่าวว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาการจัดทำคำขอของกองทัพเรือ ได้กำหนดรายละเอียดของงบประมาณตามคำแนะนำและความเห็นชอบของสำนักงบประมาณ โดยยึดความประหยัดและความคุ้มค่า ตระหนักถึงคุณค่าของเงินทุกบาทของประเทศชาติและตั้งงบประมาณรายจ่ายอยู่ในกรอบที่เคยได้รับโดยประมาณทุกปี ทั้งนี้ กองทัพเรือเตรียมลงนามในสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำลำที่ 2-3 ในเดือนกันยายนนี้

น.อ.ธาดาวุธ ทัตพิทักษ์กุล รองผู้อำนวยการสำนักจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ชี้แจงว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้ให้ข่าวในสื่อต่าง ๆ ว่าการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 1 ไม่ถูกต้องและไม่มีกฎหมายรองรับนั้น ยืนยันว่ากองทัพเรือไม่เคยพูดเท็จกับประชาชน แต่การมีเรือดำน้ำจะช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรอง กองทัพเรือจึงศึกษาและเสนอแนะต่อรัฐบาล กระทั่งวันที่ 18 เมษายน 2560 คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำตามที่กองทัพเรือตระหนักถึงความจำเป็นของเรือดำน้ำ และข้อเสนอของจีนดีที่สุด

“ส่วนที่บอกว่าจีทูจีปลอม เป็นการให้ข้อมูลเท็จ เนื่องจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติอนุมัติและให้อำนาจผู้บัญชาการทหารเรือ ซึ่งอนุมัติให้ประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำและเสนาธิการทหารเรือเป็นผู้แทนลงนามข้อตกลง ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยความถูกต้อง พิจารณารอบคอบตามระเบียบวิธีราชการทุกประการ ขณะที่รัฐบาลจีนสั่งการให้หน่วยงาน SASTIND ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐของจีนที่บริหารงานด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการส่งออกอาวุธ มอบอำนาจให้ประธานบริษัท CSOC เป็นผู้แทนลงนาม ดังนั้น คนของจีนที่มาลงนามจึงเป็นผู้ที่ได้รับมอบอำนาจมาอย่างชัดเจน จึงเป็นจีทูจีของจริง ไม่ใช่จีทูจีของปลอม” น.อ.ธาดาวุธ กล่าว

น.อ.ธาดาวุธ กล่าวว่า ส่วนประเด็นที่ยังคลาดเคลื่อนเรื่องการทำสัญญาระหว่างรัฐบาลจีนกับไทย เนื่องจากเป็นจีทูจี คือ ความเอื้อเฟื้อมิตรไมตรีระหว่างรัฐบาล จึงใช้คำว่า “ข้อตกลง” ไม่ใช้คำว่า “สัญญา” จึงทำให้มีผู้เข้าใจผิด ไปแปลความหมายของคำ ว่า “ข้อตกลง “คือ “MOU” ที่ต้องลงนามโดยนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งที่ข้อตกลงนี้ เป็น “Agreement” ไม่ใช่ “MOU”

พล.ร.ต.อรรถพล เพชรฉาย ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำ ชี้แจงว่า การเจรจากับจีนอยู่บนพื้นฐานเรือดำน้ำ 3 ลำมาโดยตลอด และรัฐบาลจีนรับทราบการจัดหาเป็นระยะ แต่เนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาด้านงบประมาณ จึงจัดหาเรือดำน้ำระยะที่ 1 จำนวน 1 ลำก่อน ซึ่งได้ลงนามข้อตกลงไปแล้ว ส่วนการจัดหาระยะที่สองในปีงบประมาณ 2563 ถึง 2569 การเจรจาได้ข้อยุติแล้ว และสามารถจัดหาได้ในราคาลำละ 11,250 ล้านบาท ซึ่งราคาต่อลำต่ำกว่าลำที่หนึ่ง

“ในราคาดังกล่าวจะรวมถึงได้รับการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติม ประกอบด้วยแผ่นยางลดเสียงสะท้อน ระบบสื่อสารดาวเทียม ระบบสื่อสารข้อมูลทางยุทธวิธีและอาวุธ ทั้ง จรวดนำวิถี ทุ่นระเบิด ตอร์ปิโด โดยมีมูลค่ากว่า 2,100 ล้านบาท โดยไม่ต้องเพิ่มเงินเลย ดังนั้น ในปี 2560-2570 ประเทศไทยจะมีเรือลำดำหน้าตาคล้ายกันทั้งหมด 3 ลำ แต่ถ้าไม่ดำเนินการตามที่เจรจาไว้ทั้งหมด ประเทศไทยจะหมดความน่าเชื่อถือเชิงพาณิชย์ การจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จึงมีความจำเป็น ซึ่งได้เสนอร่างข้อตกลงจ้างให้สำนักงานอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศตรวจสอบแล้ว” ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ กล่าว

ผู้สื่อข่าวสอบถามว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายยุทธพงศ์ที่กล่าวหาว่าเป็นจีทูจีเก๊หรือไม่ พล.ร.อ.สิทธิพร กล่าวว่า หน่วยงานจะพิจารณาต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามย้ำว่า หากคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 มีมติไม่เห็นชอบการจัดหาเรือดำน้ำลำที่ 2-3 จะได้รับผลกระทบอย่างไร ผู้อำนวยการสำนักงานจัดหายุทโธปกรณ์ทหารเรือ กล่าวว่า หากไม่สามารถซื้อได้ในปีงบประมาณ 2564 ไม่มีค่าปรับอะไร แต่เกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาก รวมทั้งจะกระทบต่อความน่าเชื่อถือในเชิงพาณิชย์ที่ไทยจะได้แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับจีน

ส่วนที่มีข่าวกระแสผู้ใหญ่ในรัฐบาลล็อบบี้คณะอนุกรรมาธิการฯ ให้โหวตผ่านการจัดหาเรือดำน้ำ เสนาธิการทหารเรือ กล่าวว่า ตนมีแต่หน้าที่การชี้แจง ไม่มีหน้าที่อื่น และยืนยันว่าชี้แจงตามข้อเท็จจริง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ และนายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อกองทัพเรือแถลงข่าวเสร็จสิ้น นายพิจารณ์ได้ลุกขึ้นสอบถามกับคณะแถลงข่าวของกองทัพเรือ ว่าคำชี้แจงของกองทัพเรือครั้งนี้ ไม่ได้ปรากฎในการชี้แจงของคณะอนุกรรมาธิการฯ

“ขอให้กองทัพวางตัวเป็นกลาง ควรงดการพูดจาเหน็บแหนมและลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวบุคคล พฤติกรรมนี้ไม่ทำให้กองทัพเรือได้รับความนิยมชมชอบจากประชาชน และผมได้ยินแต่คำว่าโควิด แต่ไม่ได้ยินคำว่า วิกฤติเศรษฐกิจ จึงอยากสอบถามกองทัพเรือว่ามีแนวทางลดงบประมาณจากกำลังพลอย่างไร” นายพิจารณ์ กล่าว

พล.ร.อ.สิทธิพร ได้กล่าวขออภัยหากพาดพิง เพียงแต่อยากชี้แจงวัตถุประสงค์ของการจัดหาเรือดำน้ำ พร้อมยืนยันว่ากองทัพเรือมีแผนลดกำลังพลต่อไป แต่เป็นเรื่องภายในของกองทัพ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

กระดูกเทียมไทเทเนียม นวัตกรรมไทยช่วยทหารกล้าชายแดน

กรุงเทพฯ 16 ส.ค.-สินค้า IP ไทยสุดเลิศ ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อยอดส่งออกสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยในระยะยาว นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมกับบริษัท เมติคูลี่ จำกัด ผู้ผลิตกระดูกเทียมและอุปกรณ์ช่วยผู้ป่วยผ่าตัด ช่วยเหลือทหารแนวหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จำนวน 4 ราย ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี และโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าตามลำดับ เพื่อให้ทหารกล้าของไทยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยเร็ว “ความร่วมมือครั้งนี้ เริ่มจากกระทรวงพาณิชย์ลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีเยี่ยมผู้ประสบภัย ชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 จากนั้นได้ประสานกับ เมติคูลี่ ซึ่งได้รับเลือกจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ให้เป็น IP Champion ในสาขาสิทธิบัตรการประดิษฐ์ประจำปีนี้ มอบแผ่นปิดกะโหลกเทียมไทเทเนียมออกแบบเฉพาะบุคคล และกระดูก มือเทียมไทเทเนียมเฉพาะบุคคลให้ทางโรงพยาบาลเพื่อให้นายทหารที่ผ่านการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ 3 ราย และผ่าตัดข้อมือ 1 ราย ได้รับการรักษาที่มีความแม่นยำสูง ด้วยการออกแบบกระดูกที่มีขนาดจำเพาะกับสรีระผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยฟื้นฟูร่างกายได้ดีขึ้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ โดยกระทรวงฯ ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากกองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2” […]

“นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก

กทม.16 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เผย “นราธิวาส” จับยาไอซ์ลอตใหญ่ 900 กก. ซุกรถขนผัก สั่งการเร่งขยายผลต่อเนื่อง พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากว่าที่ร้อยตรี ตระกูล โทธรรม ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ว่าจากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ในวันนี้ทางจังหวัดนราธิวาสร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้มีการแกะรอย และตรวจค้นรถกระบะที่มีการลักลอบขนส่งยาเสพติด บริเวณอำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส สามารถตรวจจับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ซุกซ่อนอยู่ในรถกระบะขนผัก จำนวน 30 กระสอบ น้ำหนักรวมประมาณ 900 กิโลกรัม และได้ทำการควบคุมตัวตัวผู้ต้องหาไว้ได้แล้ว นายภูมิธรรม กล่าวอีกว่า ตนได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และนายเดชอิศม์ ขาวทอง รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามการดำเนินงานและร่วมแถลงผลการจับกุมในวันที่ 16 ส.ค.นอกจากนี้ยังได้ให้กำลังใจผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านที่ทำหน้าที่อย่างเข้มข้น ตั้งใจ จนสามารถจับกุมกรณีการลักลอบขนส่งยาเสพติดล็อตใหญ่นี้ได้ และได้ให้ติดตามเพื่อขยายผลการจับกุมต่อไป.-319.-สำนักข่าวไทย

รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียน-ปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียน รับเงินช่วยเหลือ

ทำเนียบฯ 16 ส.ค. – รัฐบาลย้ำเกษตรกรเร่งขึ้นทะเบียนและปรับปรุงข้อมูลทางทะเบียนปีการผลิต 2568/69 พร้อมรอรับเงินช่วยเหลือตามนโยบายรัฐบาล นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) เห็นชอบโครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรปลูกข้าวปีการผลิต 2568/69 และนาปรังปีการผลิต 2568 โดยจะจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนา ไร่ละ 1,000 บาท ไม่เกิน 10 ไร่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาต้นทุนการผลิตสูงและราคาข้าวที่ตกต่ำ ซึ่งเกษตรกรที่ทำนาปรังและนาปี จะได้รับเงินหลังจากลงทะเบียนและตรวจสอบสิทธิแล้วเสร็จ ทั้งนี้ คาดว่าจะเกษตรกรที่ทำนาปรังจะได้รับเงินเร็วที่สุดภายในเดือนกันยายน 2568 ส่วนเกษตรกรที่ทำนาปี จะได้รับในช่วงปลายปีนี้ หรือต้นปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอเชิญชวนเกษตรกรทั่วประเทศ เร่งดำเนินการขึ้นทะเบียนและปรับปรุงทะเบียนเกษตรกร ประจำปีการผลิต 2568/69 โดยเกษตรกรสามารถขึ้นทะเบียนเกษตรกรผ่านช่องทางการบริการของรัฐโดยไม่มีค่าใช้จ่ายดังนี้ วิธีที่ 1 แจ้งกับเจ้าหน้าที่ สำหรับเกษตรกรรายเดิม แปลงเดิม สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่ง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อม และร่วมเป็นหน่วยสนับสนุนที่เกษตรกรมีพื้นที่การเกษตรอยู่ รวมถึงแจ้งข้อมูลผ่านผู้นำชุมชนหรือตัวแทนอาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ส่วน เกษตรกรรายใหม่ และรายเดิม แต่เพิ่มแปลงใหม่ […]

“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท

รัฐสภา 15 ส.ค.-“วีระ” เตือน รัฐบาลควรเลิกนโยบายกึ่งการคลัง ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หลังแบกหนี้ 1 ล้านล้านบาท ตั้งคำถามหลายรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดี จะมาตั้งของบอีกทำไม นายวีระ ธีระภัทรานนท์ ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในเรื่องของรัฐวิสาหกิจ ว่า ในเอกสารงบประมาณที่เป็นงบประมาณรายจ่าย มาตรา 29 มีรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งของบประมาณรวมกันทั้งสิ้น 79,298 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจทั้งหมด 1.43 แสนล้านบาท ซึ่งในรัฐวิสาหกิจ 21 แห่งที่ของบประมาณมาตนไม่ค่อยติดใจ เพราะมีรัฐวิสาหกิจจำนวนหนึ่งไม่มีรายได้ อีกส่วนเป็นรัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ บางรัฐวิสาหกิจมีหนี้สินจำนวนมาก เช่น ขสมก. การรถไฟแห่งประเทศไทย นายวีระ ฝากไปถึงคนที่ต้องจัดการรัฐวิสาหกิจว่า รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหารัฐบาลต้องตัดสินใจให้เด็ดขาดว่า รัฐวิสาหกิจเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปในสภาพแบบนั้น หรือ จะดำเนินการแปรรูปให้เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เพื่อไม่ให้เกิดภาระการคลังในอนาคตอย่างที่เป็นอยู่ปัจจุบัน สำหรับกรณี บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูกิจการ โดยที่รัฐบาลยังถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 40% แต่ไม่มีสถานะภาพเป็นรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป […]

ข่าวแนะนำ

ตรวจสอบ รร.ประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ

ขอนแก่น 17 ส.ค.- กองปราบจ่อประชุมคณะทำงานคดี “หมอบี” เชื่อเจ้าตัวไม่หนี ขณะที่ทนายวัดพระบาทน้ำพุเลื่อนแถลงข่าว อ้างเอกสารชี้แจงยังไม่เรียบร้อย ตรวจสอบโรงเรียนประถม “พระอลงกต” ไม่ปรากฏชื่อ กรณีเพจดังตั้งข้อสงสัยวุฒิการศึกษาพระอลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ อ้างว่าปี 2518 ยังเรียน มศ.2 จะจบวิศวฯ ปี 2519 ได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวสอบถามแหล่งข่าวในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ให้ข้อมูลว่ากรณีพระอลงกต ระบุว่าจบการศึกษาที่โรงเรียนระดับประถม(นันทวิทยาลัย) ปรากฏว่าไม่มีชื่อโรงเรียนนี้อยู่ในสังกัดสำนักงานเขตของพื้นที่ทั้ง 26 อำเภอ ใน จ.ขอนแก่น หรือถ้ามี ก็อาจจะปิดตัวไปแล้ว   ส่วนระดับมัธยมศึกษานั้น ข้อมูลยืนยันว่า พระอลงกต ศึกษาจบระดับชั้น มศ.2 ที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย จังหวัดขอนแก่นจริง มีศิษย์เก่าทั้งระดับชั้นเดียวกัน และรุ่นพี่รุ่นน้องต่างยืนยันว่า พระอลงกต จบจากโรงเรียนแก่นนครวิทยาลัยจริง ในปี 2518 แต่ยังสงสัยในระดับปริญญาตรีว่าจะจบจริงหรือไม่   เชื่อ “หมอบี” ยังไม่หลบหนี พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ […]

รวบแล้ว “ลุงคลั่ง” ใช้ไม้หน้าสามตีหลานสาวดับ

ตรัง 17 ส.ค.- ตำรวจ สภ.ห้วยยอด รวบลุงคลั่งใช้ไม้หน้าสามฟาดหลานสาวแท้ๆ เสียชีวิตคาบ้านพัก สารภาพอ้างแค้นใจสะสมมานาน มีปากเสียงบ่อยครั้ง ตำรวจ สภ.ห้วยยอด จ.ตรัง คุมตัวนายสุริยัณห์ อายุ 44 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุใช้ไม้หน้าสาม กระหน่ำตี น.ส.ปาริชาติ หรือน้องเชียร์ อายุ 21 ปี นักศึกษาพยาบาลชั้นปีที่ 3 ซึ่งเป็นหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองจนเสียชีวิตภายในบ้านพัก จากนั้นหลบหนีขึ้นไปบนเขา คลองมวน  ต.หนองปรือ อ.รัษฎา เจ้าหน้าที่สนธิกำลังเข้าปิดล้อมภูเขา ก่อนจับกุมตัวได้พร้อมของกลางไม้หน้าสามเปื้อนเลือด ความยาวประมาณ 60 เซนติเมตร  สอบสวนนายสุริยัณห์ รับสารภาพว่าลงมือก่อเหตุจริง โดยอ้างว่ามีปัญหากับหลานสาวมานาน มักมีปากเสียงบ่อยครั้ง วันเกิดเหตุได้บุกเข้าไปในห้อง ใช้ไม้หน้าสามฟาดเข้าที่ท้ายทอยของหลานสาว 6–7 ครั้งจนเสียชีวิต ก่อนหลบหนีออกจากบ้าน ผู้ต้องหาระบุว่า เคยทำงานเป็นช่างสักตามเกาะท่องเที่ยว เช่น เกาะพะงัน และเกาะพีพี แต่มีปัญหาจึงกลับมาอยู่บ้าน มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเคยถูกส่งตัวเข้าบำบัดหลายครั้ง ขณะถูกสอบสวนยังสามารถโต้ตอบคำถามได้ปกติ แต่ไม่มีท่าทีสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป สำหรับศพของ “น้องเชียร์” ล่าสุด […]

ตร.เข้มปราบแข่งรถบนทางด่วน เร่งสอบเหตุรถชน 11 คัน

17 ส.ค.- สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ย้ำปราบปรามแข่งรถในทางอย่างเข้มงวด กรณีเกิดอุบัติเหตุรถชน 11 คัน บนทางด่วนศรีรัช–อุดรรัถยา เร่งตรวจสอบ พบความผิดใด ดำเนินคดีทุกกรณี วันนี้ (17 สิงหาคม 2568) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร และหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจงานป้องกันปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีวันที่ 16 สิงหาคม 2568 เวลาประมาณ 00.30 น. ศูนย์วิทยุ สภ.ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์เฉี่ยวชนกันหลายคัน บนทางด่วนศรีรัช – อุดรรัถยา ขาออก มุ่งหน้า จังหวัดปทุมธานี พื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมหน่วยกู้ภัยการทางพิเศษเร่งเข้าตรวจสอบ พบรถยนต์เสียหายรวมทั้งสิ้น 11 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจำนวน 3 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ทั้งหมด ผลการตรวจไม่พบปริมาณแอลกอฮอล์ในร่างกาย อย่างไรก็ตาม จากพฤติการณ์เบื้องต้นสันนิษฐานว่าเป็นการขับรถด้วยความประมาท […]

สัปดาห์หน้าถกคดี “หมอบี” รอง ผบก.ป. เชื่อเจ้าตัวยังไม่หนี

17 ส.ค.- กองปราบเตรียมประชุมคณะทำงานคดี “หมอบี” สัปดาห์หน้า รอง ผบก.ป. เชื่อเจ้าตัวยังไม่หลบหนี พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการปราบปราม เปิดเผยความคืบหน้าการตรวจสอบพฤติการณ์ของนายเสกสันน์ หรือ หมอบี ซึ่งอาจเข้าข่ายฉ้อโกง กรณีเปิดรับบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนโครงการของวัดพระบาทน้ำพุ ว่า ในช่วงต้นสัปดาห์หน้า คณะทำงานจะมีการเรียกประชุมเพื่อตรวจสอบข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ได้ลงไปติดตามในพื้นที่ จากการสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาเทียบเคียงและพิจารณาว่า พฤติการณ์ของนายเสกสันน์ เข้าข่ายกระทำความผิดหรือไม่ ส่วนจะเป็นวันใดนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือ สำหรับการรวบรวมพยานหลักฐาน ขณะนี้พบว่ามีความคืบหน้าไปมาก คงเหลือพยานหลักฐานบางส่วนที่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าอาจมีบุคคลที่เกี่ยวข้องหลบหนีไปนั้น พ.ต.อ.เอนก บอกว่า เบื้องต้นเชื่อว่าไม่น่าจะมีใครหลบหนี มีรายงานข่าวว่า กรณีดังกล่าวหากนายเสกสันน์ หรือผู้เกี่ยวข้องมีการหลบหนีจริง ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ เนื่องจากขณะนี้เจ้าตัวยังไม่ถูกดำเนินคดี รวมถึงไม่ถือเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ทำให้ตำรวจไม่สามารถขออายัด หรือมีคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ซึ่งปัจจุบันคณะทำงาน โดยเฉพาะกองบังคับการปราบปราม อยู่ระหว่างเร่งรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลออกหมายจับในกรณีที่พบการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิด.-419-สำนักข่าวไทย