รัฐสภา 22 ก.ค.-นายกฯ แจงสภา ย้ำให้ความสำคัญสิทธิมนุษยชนเต็มที่ เตือนฝ่ายค้านระวังเรื่องพูดถึงบุคคลที่สาม ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เข้าใจทำไมสอนให้คนที่ยืมเงินกยศ.ไม่ต้องรับผิดชอบ ขู่เอาผิดถ้าละเมิดสิทธิ์ส่วนตัว-ครอบครัว
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ใช้สิทธิ์ลุกขึ้นชี้แจงหลังถูกฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ว่า เรื่องนี้ได้ชี้แจงไปหลายครั้ง ทั้งในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ในกรรมาธิการ ซึ่งอยู่ที่สภาฯ จะพิจารณาอนุมัติงบประมาณให้เท่าไหร่ ถ้าไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน หากผ่านก็ดำเนินการได้
“จะได้เป็นหลักการและหลักเกณฑ์ ซึ่งสิ่งที่หน่วยงานชี้แจงมา มีเหตุมีผลเรื่องจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในตัวเองอยู่แล้ว ว่าสิ่งไหนจำเป็น หรือไม่จำเป็น เร่งด่วนหรือไม่เร่งด่วน ส่วนข้อกล่าวหาว่าเรื่องความไม่ถูกต้องในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมได้รับรายงานมาและมีข้อมูลบ้างแล้ว อะไรที่เป็นประโยชน์จะเข้าสู่กระบวนการต่อไป ต้องขอบคุณผู้อภิปราย” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านที่ระบุว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการใช้อำนาจกับการชุมนุมเพื่อป้องกันผู้เห็นต่าง โดยถามกลับว่า ผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นกฎหมายปกติหรือไม่ กฎหมายที่เขียนมาใหม่หรือไม่ ที่ผ่านมาให้นโยบายมาตลอดว่าต้องระมัดระวังเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างถึงที่สุด อะไรที่แจ้งเตือนได้ก็ให้แจ้งเตือน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่รับฟังข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดเพี้ยนไป ก็ต้องไปพูดคุยกับผู้ปกครองเพราะไม่ต้องการให้อยู่ท่ามกลางอันตรายและจะต้องถูกดำเนินคดี ในขณะที่การดำเนินคดีเป็นกระบวนการของศาล ตนไม่เคยใช้อำนาจก้าวล่วงศาล
“ที่ผ่านมาผมให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มที่ เรียกว่าเกิน 100% และในกฎหมายหลายตัวก็มีอยู่เรื่องการผ่อนหนักผ่อนเบา แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมยังมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ อีกทั้งมีพรรคการเมืองบางพรรคเข้าไปเกี่ยว ตรงนี้เป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด ผมคิดว่าคนไทยทั้งประเทศคงมองออก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปพูดในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยเพื่อทำลายล้างระบบทั้งหมด เปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ผมคิดว่าคนไทยคงไม่ยอม เพราะฉะนั้นถ้าจะมาโทษเจ้าหน้าที่คงไม่ได้ เพราะท่านเป็นคนเริ่มทำเอง กฎหมายทุกฉบับ ผมไม่ได้กำหนดขึ้นมาใหม่” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงข้อกล่าวหาการป้องกันประเทศ การดูแลชายแดน ว่า การดูแลเรื่องน่านฟ้า ได้ชี้แจงไปแล้ว แต่ก็มีความพยายามที่จะรื้อฟื้นขึ้นมา ซึ่งตนจะทำให้ดีที่สุด แต่คงไม่ถูกใจทั้งหมด เพราะไม่ได้ทำงานคนเดียว ทำงานด้วยระบบ ทำงานด้วยการประสานกับต่างประเทศ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร แต่เขาก็เป็นเพื่อนบ้านของเรา ส่วนเรื่องกิจการการเมืองภายในประเทศเป็นเรื่องของเขา เราเองก็คงไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งกับกิจการภายในประเทศของเราเช่นกัน จึงขอให้ระมัดระวังด้วย หากจะกล่าวถึงเรื่องนี้
“กรณีผู้ลี้ภัยที่ได้รับความเดือดร้อน ไทยเคยรับเข้ามาดูแลแล้วเป็นแสนคนตามหลักสิทธิมนุษยชน เมื่อเกิดการสู้รบ เราจะหาพื้นที่ปลอดภัยให้ เตรียมอาหาร ยา ให้การรักษา ไม่เลือกปฏิบัติ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายผู้ลี้ภัยจะกลับประเทศไป ขอให้เข้าใจว่าชายแดนไทยและประเทศเพื่อนบ้านติดกันโดยไม่มีอะไรแบ่งอย่างชัดเจน เป็นเพียงพรมแดนตามธรรมชาติและระยะห่างกับกลุ่มผู้ต่อต้านไม่เกิน 500 เมตร เพราะฉะนั้นมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาขึ้นพอสมควร หากเกิดการปะทะกันและ ไทยเองได้เตือนไปหลายครั้ง เรื่องการใช้อาวุธควันและกระสุน หากมาตกในฝั่งไทย หากยังฝ่าฝืนก็จะใช้อาวุธจริงตามลำดับ ต้องระวังอย่างถึงที่สุดเรื่องกิจการภายในของเขา ก็เป็นเรื่องของเขา เขาไม่เคยมายุ่งกับเรา และเราก็ไม่เคยไปยุ่งกับเขา” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านนำภาพนายกรัฐมนตรีเดินทางไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศและกล่าวหาว่าไม่ได้รับการยอมรับ ว่า ภาพที่เห็นเป็นภาพที่นำมาประกอบกัน ส่วนภาพที่บอกว่าตนไม่ได้รับการทักทายพูดจา ตนว่าไม่ใช่ ขออย่ามาเถียง ให้ไปขอข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศได้ และว่า “ถ้าไม่เคยไป ไม่เคยเป็น ไม่เคยอยู่ ขออย่ามาว่าผม เอาไว้ให้ท่านเป็นก่อนค่อยทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ผมไม่ว่าใครและไม่ใช่ว่าผมทำดีที่สุด
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงเกี่ยวกับกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.) ว่า ไม่เคยทำลายระบบกยศ. รัฐบาลให้ความสำคัญกับคนที่ออกนอกระบบการศึกษา ส่วนหนี้กยศ. ตนไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสอนให้คนไม่รับผิดชอบ ที่ตนทำคือทำให้คนต้องรับผิดชอบเมื่อกู้เงินไปต้องรับผิดชอบ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เป็นภาระในการส่งต้น ส่งดอก และมีหลายคนที่มีเงินเดือนเป็นแสน ไม่ยอมใช้หนี้กยศ. ตนไม่เข้าใจ
“วันนี้ที่ต้องทำคือ ต้องร่วมมือกันให้เราอยู่รอดไปด้วย ซึ่งผมทำให้มันอยู่รอด ถ้าเราอยู่รอด มันจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองในกรอบที่สามารถทำได้ ที่เป็นไปตามกติกา คนเราต้องเคารพกติกา สิทธิมนุษยชนของผมก็มี ท่านก็มีของท่าน ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันหมด ผมอาจจะต้องรับผิดชอบมากหน่อย หน้าที่การงานมากหน่อย ผมอาจจะไปอ้างสิทธิ์มากกว่าคนอื่นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมีสิทธิ์เท่าทุกคน แต่ขออย่ามาละเมิดสิทธิ์กันและกัน อะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความเสียหายกับผม ก็จำเป็นต้องรักษาสิทธิส่วนบุคคลเหมือนกัน อันนี้ไม่ได้ขู่ เป็นเรื่องของกฎหมาย ซึ่งท่านอาจจะไม่สนใจเท่าไหร่ ท่านใช้คำพูดที่รุนแรงมากพอสมควรในสภาฯ แห่งนี้ ผมพยายามอดทนอย่างเต็มที่แล้ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องการพาดพิงบุคคลภายนอก ว่า สมาชิกพยายามทักทวงหลายครั้ง ตนไม่อยากให้เกิดขึ้นและไม่อยากทำให้เกิดความเสียหาย ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เป็นเรื่องที่คนพูดต้องรับผิดชอบ ทุกคนต้องเคารพกฎหมาย ตนไม่ใช่คนที่จะไปสั่งการเจ้าหน้าที่ให้ไปจับคนนั้นคนนี้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ ไม่มีเรื่อง ไม่มีหลักฐาน ก็ทำไม่ได้ ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดอยากทำ
“การฟ้องศาลแต่ละที ต้องเขียนสำนวนเท่าไหร่ ต้องทำอย่างไรให้ถูกต้อง ให้กระบวนการยุติธรรมรับได้ ผมไปบิดเบี้ยวไม่ได้ เพราะพฤติกรรมปรากฏ ก็ขอร้อง ไม่ว่าจะอยู่เบื้องหลังหรือไม่อยู่เบื้องหลังก็ตาม ผมอยากจะเตือนเอาไว้และไม่ได้จ้องใครทั้งสิ้น ใครทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำเหมือนกับผม ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่เคยหยาบคายกับใครไม่เคยมีกิริยาก้าวล่วง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกล่าวหาเรื่องการใช้สปายแวร์เพกาซัส สอดแนมนักการเมืองฝ่ายค้านและนักเคลื่อนไหวกิจกรรมการเมือง ว่า ไม่รู้จักเพกาซัส ซึ่งท่านก็ชอบกล่าวหาว่าตนไม่ฉลาดอยู่แล้ว และตนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสียเงินงบประมาณเพื่อไปตามเรื่องเหล่านี้ เพราะเปิดในโซเชียลก็เห็นอยู่แล้วว่าใครเป็นคนทำ มาจากไหน ใช้งบประมาณเท่าไหร่ มีคณะทำงานที่ไหนบ้าง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องไปเรียนรู้เอาเอง หากยังใช้โซเชียลแบบนี้ ประเทศชาติจะเป็นแบบนี้ จริงบ้าง เท็จบ้าง ผมไม่ให้ค่ากับคนเหล่านี้อยู่แล้ว คนที่อยู่เบื้องหลัง กฏหมายต้องว่ากันไป ผมไม่ขอแก้ตัว เห็นว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องพูด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในสภาฯ และประเทศชาติมากกว่าเรื่องที่ต้องตีกันไปตีกันมา หลายเรื่องพูดกันไปแล้วก็ถามอีก กมธ.ก็เรียกข้าราชการมาชี้แจง บางทีต่อสัปดาห์ไม่ต้องทำงาน ให้มาชี้แจงเรื่องเดิม ผมขอใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ดีกว่ามาโต้เถียงกัน เพราะสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ วันนี้ไม่ใช่เวลาต้องมาทะเลาะกัน ผมไม่อยากทะเลาะกับท่าน แม้ว่าท่านจะไล่ผม ขึ้นอยู่กับมติ ขึ้นอยู่กับประชาชน ขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญ ผมไม่ใช่คนเขียนรัฐธรรมนูญ สั่งใครไม่ได้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญทำมา เพราะฉะนั้นการที่เอาสิ่งต่าง ๆ หรือหนังสือพิมพ์มาพูด ผมรับไม่ได้ จึงเป็นข้อมูลที่ต้องตรวจสอบและผมได้เตือนไปแล้วว่าอย่ามาละเมิดสิทธิมนุษยชนของผมและครอบครัวผม” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย