รัฐบาลให้ความสำคัญพัฒนาคน

ทำเนียบรัฐบาล 24 มีค-นายกฯ ปธ.ลงนาม 7 กระทรวงร่วมดูแลคนตลอดช่วงชีวิต ย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บอกตัวเอง-ทุกคนอย่าท้อ จะทำงานให้ดีที่สุด ขอโทษที่ก้าวก่ายการงานเพื่อไปถึงเป้าหมาย


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565 – 2569 โดยมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมร่วมพิธี

นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “มั่นคงมั่งคั่งยั่งยืนการพัฒนาคนตลอดชีวิต” ว่า รัฐบาลให้ความสำคัญการพัฒนากำลังคนของชาติเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ การพัฒนาคนทุกช่วงวัย ถือเป็นรากฐานสำคัญที่ร่วมมือกันขับเคลื่อนอย่างรอบด้าน วันนี้เน้นอยู่ 2 กลุ่มคือเด็กปฐมวัยและกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะเสริมศักยภาพให้ได้เพื่อให้เท่าเทียมกันทุกมิติ


“วันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กเพราะฉะนั้นใครจะสร้างให้ได้ก็ต้องคนรุ่นเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อ แม่ ครอบครัว ญาติ พี่ น้อง และนำไปสู่โรงเรียนและสังคม เพราะฉะนั้นถ้าไม่สร้างภูมิคุ้มกันตรงนี้ เราจะไม่พร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์โลกต่อไป เมื่อต้องการผลลัพธ์พลเมืองที่มีคุณภาพ มีคุณค่าต่อสังคม จากเด็ก มาสู่การโตเป็นผู้ใหญ่มีงานทำ มีจิตสำนึก ที่ดีเผื่อแผ่แบ่งปัน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ต่อจากนั้นเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจจะมีความลำบากในเรื่องการใช้ชีวิต อาชีพรายได้ ซึ่งคงจะต้องดูแลตรงนี้ด้วย เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อสังคมและครอบครัวต่อไปในอนาคต” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไทยในปีหน้า จำนวนตัวเลขผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นภาระที่เด็กเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องดูแลและแก้ไขปัญหาตั้งแต่วันนี้ อย่างไรก็ตาม จะต้องทำให้เขามีความภาคภูมิใจว่าถึงแม้จะเป็นผู้สูงอายุ ก็เป็นทรัพยากรเป็นประชากรที่มีศักยภาพ และสามารถพึ่งพาตนเองได้ นี่คือสิ่งที่ตนกังวล จะต้องเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การลงนาม 7 กระทรวงวันนี้ เห็นได้ว่างานแต่ละงานไม่สามารถทำได้ด้วยคนคนเดีย ว งานทุกงาน ในฐานะตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บริหาร เป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ กำหนดยุทธศาสตร์ และติดตามกำกับดูแลริเริ่ม แต่ผู้ปฏิบัติคือรองนายกรัฐมนตรี ที่นำนโยบายไปสู่การขับเคลื่อนร่วมกับรัฐมนตรี นำไปสู่การปฏิบัติกับหน่วยงานราชการ มีห่วงโซ่ในสายงานบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นจะอ่อนตรงไหนไม่ได้ จะไม่ให้ความสำคัญตรงไหนไม่ได้ เพราะทุกคนคือห่วงโซ่ที่จะต้องทำงานไปด้วยกัน สายการบังคับบัญชาหรือช่วงการบังคับบัญชาเป็นขั้นเป็นตอนลงไป


“ถ้าทุกคนเอาใจใส่ ร่วมมือกัน คำว่าบูรณาการร่วมกัน ไม่ใช่แค่พูด แต่ต้องเอางานทั้งหมดที่เกิดมาในวันนี้มาดูว่ามีงานอะไรบ้าง เกี่ยวกับการพัฒนาคน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การศึกษา สังคม อะไรก็แล้วแต่ จะต้องพิจารณาร่วมกันว่าจะดูแลอย่างไร จะร่วมมือกันอย่างไร นี่คือการบูรณาการงานร่วมกัน โจทย์มีให้แล้ว อยู่ตรงยุทธศาสตร์ชาติที่เขียนไว้ทั้ง 6 ข้อ ครอบคลุมทั้งหมดอยู่แล้ว นั่นคือแผนแม่บททั้งหมดสอดคล้องกัน หากเราไม่ทำมาแล้วเลยจะไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นการที่ออกมาพูด พูด พูด แล้วไม่ได้ทำ หรือไม่ได้เริ่ม ก็จะไม่มีทางเป็นไปได้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราทำกันมาหลายปีแล้ว ทุกอย่างที่มีความพร้อมในวันนี้ที่สามารถแก้ไขปัญหาในวันนี้ได้มากที่สุด ทั้งการแก้ไขปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิค 19 สถานการณ์ การสู้รบอะไรต่าง ๆก็แล้วแต่ ถึงหลายคนจะรู้สึกว่ายังไม่ดีพอ ยังไม่พอใจ แต่ถ้าไม่เตรียมความพร้อมในหลายปีที่ผ่านมาแล้ว ทั้งก่อนหน้านี้ จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน เราจะเจอกับเหตุการณ์ที่หนักกว่านี้อีกมาก เพราะฉะนั้นทุกคนทุกสิ่งจะต้องมีการสืบสานต่อเนื่องกันออกไป ทำงานไปด้วยกัน ในนามของรัฐบาล ที่ต้องแก้ไขปัญหาและสร้างทัศนคติของคนแต่ละคน ต้องคิดว่าจะทำอย่างไร ให้คนที่จะมีส่วนร่วมแล้วเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างการรับรู้ต่างๆ ว่าจะเกิดความร่วมมือกันได้อย่างไร ว่ามีเจตนาที่ดีมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมาย และมีวิธีการและจะทำอย่างไรในขั้นตอนตรงนี้ เพื่อให้คนเหล่านี้เข้ามาร่วมมือกับเราด้วยความเข้าใจ

“วันนี้โลกยุคใหม่อะไรก็เร็ว อะไรก็อยากได้เร็ว ๆ อยากทำเร็ว ๆ บางครั้งก็ลืมไปว่าจะต้องร่วมมือกันอย่างไร กับใครบ้างหรือเปล่า เราโทษเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆวันนี้ต้องสร้างการรับรู้ว่าหากจะไปด้วยกัน หากจะมั่นคงมั่งคั่ง ยั่งยืน ไปด้วยกัน จะต้องร่วมมือกัน รัฐมีหน้าที่ในการจัดระเบียบหาวิธีการทำงาน ขณะเดียวกันต้องหาวิธีการที่ให้ประชาชนเข้าถึงการบริการของภาครัฐ หากเราอธิบายไม่ชัดเจน รัฐบาลใช้ข้อมูลขนาดใหญ่บริหารจัดการทุกกลุ่ม ซึ่งวันนี้มีความก้าวหน้าตามลำดับ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอบคุณทุกคน ทุกกระทรวงที่ทำงานโดยเริ่มตั้งแต่ข้างบนลงไปข้างล่าง หรือข้างล่างขึ้นมาข้างบน ข้างบนคือระดับนโยบาย นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ไปยังปลัดกระทรวงอธิบดี และข้างล่างคือข้าราชการที่เราจะสัมผัสคือประชาชนในพื้นที่ ตรงนี้จะเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งคนข้างล่างเท่ากับข้างบน ไม่อย่างนั้นก็จะเดินหน้าต่อไม่ได้ ต่อให้ทำอะไรให้ดีก็ตาม หากไม่ขับเคลื่อนข้างล่างให้ได้คือปัญหา

“ขอให้ข้าราชการอย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง อย่าหมดกำลังใจ ผมพยายามเติมใจให้ทุกวันว่าต้องทำให้สำเร็จ ตราบใดที่ยังมีหน้าที่อยู่ จะเห็นได้ว่าหลายอย่าง ผมจะก้าวล่วงเข้าสักนิด อาจจะเตือนเรื่องนู้นเรื่องนี้ จะทำอย่างไร ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ผมขอโทษด้วย เนื่องจากเป็นน้หาที่ของนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำ อะไรที่แนะนำได้ก็แนะนำไป อะไรที่สงสัยก็ถามไป สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพุ่งเป้า จะทำอะไรก็ตามต้องพุ่งเป้าให้เจอ หาเป้าหมายให้เจอแล้วเริ่มให้ได้โดยเร็วที่สุด หากทำทีเดียวก็จะไม่มีวันสำเร็จ เราไม่มีผลงานปรากฏให้คนอื่นรู้ ไม่สร้างการรับรู้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อสร้างการรับรู้ขึ้นมา คนจะเข้ามาหาเรา จะเจอปัญหาที่แตกต่าง ทุกคนปัญหาไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งพวกเราเอง ต่างคนต่างก็มีปัญหาของเราเอง แต่จะต้องรวมพลังตรงนี้ให้ได้เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว ที่จะต้องสร้างทัศนคตินี่คือสิ่งสำคัญ สร้างหลักคิดที่ดีที่ถูกต้อง สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ ถ้าหากพูดถึงหลักการอย่างเดียว ก็คงได้เพียงหลักการ หากแก้ได้ก็คงแก้กันไปนานแล้ว แต่ก็พยายามทำหลายอย่าง แก้ของเก่า แก้ของใหม่ ต้องให้ประชาชนได้เข้าใจว่าเราทำไปหมดแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเดินหน้าไปได้มากน้อยเพียงใดในช่วงเวลาที่เรามีอยู่ แล้วย้อนกลับไปว่าเราทำอะไรไปแล้วบ้างสิ่งนี้คือสิ่งที่ประชาชนต้องรับทราบ ว่าได้รับการดูแลไปแล้วมากน้อยเพียงใด

“เป้าหมายสำคัญคือต้องการประชาชนที่มีศักยภาพสูง แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างหลักคิดของประชาชนให้ได้ ทุกคนเกิดมามีอยู่แล้ว หลายคนเกิดมามีศักยภาพเฉพาะตัวอยู่แล้ว มีพรสวรรค์มาอยู่แล้วเพียงแต่ต้องหาพรสวรรค์ให้เจอ และนำพรสวรรค์มาใช้ประโยชน์กับตัวเขาเอง คนไทยเป็นคนช่างคิดอยู่แล้ว มีวรรณคดีมีอะไรต่าง ๆมากมาย คนไทยช่างคิด มีความโรแมนติก ค่อนข้างอ่อนไหวง่าย แล้วจะทำอย่างไรให้เขามั่นคงกับสิ่งที่เราทำให้เขา ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ตนถือว่าทั้งหมดเป็นความท้าทาย อย่างยิ่งยวดสำหรับทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่จะต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ติดตามเอาใจใส่” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องสร้างความร่วมมือ ให้ประชาชนเข้าถึงการบริการภาครัฐให้ได้ เราคิดเราทำเปิดช่องทางให้เขาเข้าถึง และต้องอดทนกับการแก้ไขปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรที่จะแก้ได้ ด้วยการพูดไม่กี่คำ หรือทำไม่กี่ปี หลายอย่างต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสร้างการเรียนรู้ ให้ได้มากขึ้น เพื่อให้สังคมเราปลอดภัยศานติสุขสงบนั่นคือความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนอย่างแท้จริงทุกมิติ ขอให้ลองย้อนกลับไปดูแผนแม่บท ว่าต้องปรับตรงไหนอะไรอย่างไร เราต้องคิดว่าทำอะไรไปแล้ว

“ผมไม่ต้องการคำเยินยอจากใครทั้งสิ้น ขอให้ภูมิใจจากสิ่งที่เราทำ เราทำดีก็รู้ตัวว่าเราทำดี เราทำไม่ดีก็รู้ตัวว่าเราทำไม่ดี ทำไม่ดีก็แก้ไขเท่านั้นเอง ทำไม่ดีก็แก้ไขซะเท่านั้นเอง ทำดีอยู่แล้วก็ทำให้ดีมากขึ้นทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ตนคิดมาโดยตลอด และผมคิดว่าทุกคนร่วมมือกับผมด้วยดีเสมอมา” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าการดำเนินการทุกอย่างต้องทำให้เกิดความต่อเนื่อง ทุกคนมีส่วนร่วมในสังคม ขอให้ดูที่การกระทำว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ทุกคนที่อยู่กับผมร่วมกันทำงานมาหลายปี ขอให้ไปดูว่าผลงานอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง เราคาดหวังว่าเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ซึ่งบอกก่อนว่าไม่เกี่ยวกับการเมือง ถ้าได้ทำก็จะสานต่อให้สำเร็จ สิ่งที่ทำใกล้สำเร็จหรือที่ยังไม่สำเร็จ ทุกคนรู้ปัญหาดีหมด แต่จะทำอย่างไรนั้นสำคัญและทำได้หรือไม่ อยู่ที่ประชาชนทั้งประเทศ ต้องขอบคุณที่ร่วมมือกันมาโดยตลอด ทำให้หลายอย่างก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด หลายอย่างก็อยู่ในขั้นตอนที่ต้องแก้ไข เหล่านี้เพราะความเข้าใจการทำงานของรัฐบาล ทุกคนมีความสำคัญเท่ากันหมด

“ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเก่งที่สุด รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการทุกคน ทีมงาน เราต้องร่วมมือกันทุกมิติ ทุกพื้นที่ ประชาชนอยู่กับเรา ช่วยกันทำงาน พยายามแก้ให้ดีที่สุด ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ เราต้องผจญปัญหาอุปสรรคมากมาย เราอยู่มาหลายปี พยามป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก ทำให้ประเทศเราพัฒนาช้าเกินไป ก็พยามอย่างเต็มที่อย่างยิ่งยวด หน้าที่รัฐมนตรีมีตรงไหนก็ทำตรงนั้น ต้องให้กำลังใจกันอย่ามัวแต่ตำหนิต่อว่า ไม่เช่นนั้นคนทำงานก็หมดกำลังใจอย่าท้อแท้ สิ่งเหล่านี้คือความท้าทายของประเทศปัญหาหาเดินไปไม่ได้คือความท้าทายที่เกิดขึ้นกับคนทั้งประเทศ ประเทศไทยจะดีขึ้นหรือไม่ ทุกคนร่วมรับชะตากรรม ขอให้ทุกคนช่วยกัน สื่อมวลชนต้องช่วยกัน ก็เห็นว่าขัดแย้งกัน มีตัวอย่างให้เห็นอยู่ ขัดแย้งมากขัดแย้งน้อยมีตัวอย่างอยู่แล้ว ผมไม่ต้องการให้อะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เตือนตะวันออก-ใต้ฝั่งตะวันตก ฝนตกหนักบางแห่ง

กรุงเทพฯ 15 ส.ค. – กรมอุตุฯ เผยภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณ จ.หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนอง 60% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคตะวันออกและภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันออก มีฝนตกหนักบางพื้นที่ ขอให้ประชาชน โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดหนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มไว้ด้วย เนื่องจากมีร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบนเข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันตอนบน […]

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]