ทำเนียบฯ 25 ก.พ.-นายกฯ แถลงร่วม นายกฯ มาเลเซีย ขับเคลื่อนความร่วมมืออย่างรอบด้าน เดินหน้าเปิดด่านชายแดนให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบโดส พร้อมตั้งเป้ามูลค่าการค้า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถ้อยแถลงในการแถลงข่าวร่วมกับดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ (The Honourable Dato’ Sri Ismail Sabri Yaakob) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาส เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาลไทย
นายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีที่ได้ต้อนรับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งถือเป็นผู้นำรัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่เยือนไทย ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สะท้อนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับมาเลเซีย พร้อมชื่นชมความมุ่งมั่นและการมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ พร้อมยืนยันความตั้งใจเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ บนพื้นฐานของพี่ความไว้เนื้อเชื่อใจในฐานะเพื่อนบ้านใกล้ชิด เสมือน “ครอบครัวเดียวกัน” ทั้งนี้ ได้หารือข้อราชการร่วมกันในประเด็นสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก การฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ ทั้งสองฝ่ายสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนการเดินทางระหว่างประชาชนในทั้งสองประเทศมากขึ้นอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะการเดินทางของผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้วโดยไม่ต้องกักกันโรค ซึ่งมาเลเซียเรียกช่องทางดังกล่าวว่า Vaccinated Travel Lane (VTL) ขณะที่ไทยได้เปิดรับผู้เดินทางจากมาเลเซียที่ฉีดวัคซีนครบ เดินทางเข้าประเทศทางอากาศโดยไม่ต้องกักตัวแล้ว ผ่านระบบ Test and Go และไทยกำลังเตรียมความพร้อมเปิดการเดินทางผ่านพรมแดนทางบกเพิ่มเติม โอกาสนี้ ทั้งสองเห็นพ้องจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อเร่งหารือรายละเอียดการเปิดพรมแดนระหว่างกัน เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศเดินทางไปมาหากันได้อย่างสะดวกดังเดิม นอกจากนี้ ทั้งสองพร้อมร่วมผลักดันโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่คั่งค้างให้มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสร้างถนนเชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่และด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัม และการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลกแห่งใหม่
ประการที่สอง การกระตุ้นเศรษฐกิจและแสวงหาความร่วมมือสาขาใหม่ๆ ทั้งสองฝ่ายต่างให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อลดผลกระทบของโควิด-19 ต่อการดำรงชีวิตของประชาชน ส่งผลให้ปริมาณการค้าชายแดนและผ่านแดนในช่วงที่ผ่านมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก จึงเห็นพ้องคงเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายระยะเวลาการบรรลุเป้าหมายเป็นภายในปี 2568 และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมจัดการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 3 เพื่อขับเคลื่อนแนวทางให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งอาจใช้เป็นตัวอย่างในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศในอาเซียนได้ต่อไป
ประการที่สาม การพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และความมั่นคงชายแดน นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้มาเลเซียร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงอุตสาหกรรมยางพาราและฮาลาล พร้อมทั้งชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งฝ่ายมาเลเซียสนับสนุนท่าทีของไทยในการแสวงหาทางออกด้วยสันติวิธี ขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุขให้มีความคืบหน้า ตลอดจนพร้อมร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิดในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและข้ามแดน คู่ขนานไปกับการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้งสองประเทศ
ประการสุดท้าย การรื้อฟื้นกลไกหารือทวิภาคี การพบหารือระหว่างผู้นำไทยกับมาเลเซียในวันนี้ จะปูทางสู่การแลกเปลี่ยนการเยือนและการประชุมหารือกันภายใต้กลไกและกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีร่วมกัน เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันให้มีความคืบหน้าเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ฝ่ายไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย – มาเลเซีย ครั้งที่ 14 ในเดือนมีนาคมนี้
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สนใจร่วมกัน โดยเฉพาะบทบาทที่สร้างสรรค์ของอาเซียนในประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา เน้นย้ำการรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนท่ามกลางความท้าทายเพื่อรักษาดุลยภาพในภูมิภาค โดยทั้งสองพร้อมร่วมมือกันในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ มาเลเซียพร้อมให้การสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ด้วย ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่จะทำงานร่วมกับรัฐบาลมาเลเซียในทุกระดับและทุกมิติ โดยมีประโยชน์สุขของ “ครอบครัวชาวไทยและมาเลเซีย” เป็นหมุดหมายสำคัญ
ด้านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หวังว่าไทยและมาเลเซียจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอย่างแข็งขันในทุกระดับ และได้ขยายความร่วมมือไปยังประเด็นใหม่ๆ ของความร่วมมือ โดยเฉพาะเพื่อได้ฟื้นฟูจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด – 19 โดยเห็นด้วยกับบริบทจากการหารือกันเพื่อเปิดการเดินทางระหว่างประชาชนสองประเทศให้มากขึ้น การมุ่งส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการส่งเสริมกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ให้เกิดการพบปะหารือระหว่างกัน
ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าวร่วม นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เยี่ยมชมนิทรรศการศิลปหัตถกรรม และนายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำ เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ณ ตึกสันติไมตรีหลังนอก.-สำนักข่าวไทย