กรุงเทพฯ 6 ส.ค.-“แรมโบ้” ติงกลุ่มเยาวชนปลดแอกประกาศเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง 7 ส.ค.ถ้าก่อรุนแรง จนท.จำเป็นต้องใช้กม. หวั่นมือที่สามสร้างสถานการณ์
นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการนัดชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ที่จะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง เพราะที่ผ่านมาการชุมนุมของกลุ่มนี้ได้สร้างความรุนแรง มีทั้งระเบิดเพลิง ระเบิดปิงปอง อาวุธ หนังสติ๊ก กระสุนเหล็กต่าง ๆ ระดมใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ ยั่วยุทุกรูปแบบ ปิดถนนสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนที่สัญจรไปมาได้รับผลกระทบการทำมาหากินอย่างหนัก
“การที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะเคลื่อนขบวนไปยังพระบรมมหาราชวัง ทำให้ประชาชนคนไทยที่ปกป้องและจงรักภักดีรับไม่ได้กับวิธีคิดเช่นนี้ อย่าให้ประชาชนคนไทยที่จงรักภักดี ปกป้องสถาบันต้องออกมาชุมนุมคัดค้านกับกลุ่มนี้เลย ขณะเดียวกันการเคลื่อนไปพระบรมมหาราชวังยังเป็นการจาบจ้วง ก้าวล่วงที่มิบังควร ดังนั้นสิ่งที่กำลังคิดคนไทยส่วนใหญ่ไม่ยอมเด็ดขาด สิ่งสำคัญอาจจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ สร้างความรุนแรง เราไม่ต้องการเห็นการเกิดความรุนแรงขึ้นในการชุมนุม จึงขอเตือนม็อบว่าอย่าเคลื่อนไหว หรือเดินทางไปที่พระบรมมหาราชวัง และอย่าให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น ส่วนพี่น้องประชาชนที่จงรักภักดี จะออกมาเคลื่อนไหวปกป้องสถาบัน แม้ว่าจะสามารถออกมาเคลื่อนไหวได้ตามสิทธิ แต่จะต้องเป็นไปตามกฎหมายเช่นกัน อย่าให้กระทบกระทั่งกัน”นายเสกสกล กล่าว
นายเสกสกล กล่าวว่า คนไทยด้วยกันต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อะไรที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้และปลอดภัยจากวิกฤติโควิด จะต้องช่วยกันและก้าวผ่านวิกฤติไปด้วยกันจะดีกว่าที่จะมาทะเลาะกันรบราฆ่าฟันกันเอง จนแผ่นดินไทยนองเลือด แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อความวุ่นวายหรือใช้ความรุนแรงเช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย เพราะการชุมนุมมีความผิดทางอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่อง การห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ฉบับที่ 9 ได้ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564 และว่า “ผมมองว่าการชุมนุมมีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่ต้องการให้เกิดความรุนแรงหรือสงครามกลางเมือง เพื่อให้ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย” .-สำนักข่าวไทย