รัฐสภา 27 พ.ค.-สภาประชุมนัดแรกถกพ.ร.ก.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ส.ส.มีทั้งหนุน-ค้าน หวั่นเป็นการเขียนเช็คเปล่า เอื้อนายทุน จี้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ “ชวน” เข้ม ไม่ให้ถอดหน้ากากอภิปราย ย้ำจำเป็นต้องประชุมปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนเริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกวันนี้ (27พ.ค.) นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้แจ้งต่อสมาชิกถึงมาตรการป้องกันโควิด -19 ที่รัฐสภาต้องทำตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ พร้อมขอให้เข้าใจว่าเป็นไปเพื่อการป้องกันการติดเชื้อให้มีประสิทธิภาพ แม้อาจไม่สะดวกบางเรื่อง พร้อมกำชับว่า ระหว่างการอภิปราย อย่าอยู่ใกล้คนอภิปราย ให้อยู่ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ส่วนความหวังดีของสมาชิกที่ต้องการให้เลื่อนประชุมนั้น ขอขอบคุณ แต่เท่าที่คุยส่วนตัวกับสมาชิก ส่วนใหญ่อยากให้ประชุม เพราะบางเรื่องมีเงื่อนเวลาตามที่กฎหมายกำหนด จึงจำเป็นต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ขณะที่ในช่วงประชุม 2 สัปดาห์นี้จะขอไม่ให้มีการหารือของสมาชิก” ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าว จากนั้นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้อ่านพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยสามัญประจำปีครั้งที่1 ปี 2564 และให้นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ส.ส. นครศรีธรรมราชปฏิญาณตนก่อนทำหน้าที่
จากนั้นที่ประชุมพิจารณาพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เป็นผู้เสนอ ซึ่งนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงหลักการและเหตุผล ว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เสนอต่อครม. ว่า อัตราดอกเบี้ยในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บังคับใช้มาเป็นเวลานานกว่า 95 ปี โดยไม่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และสภาพเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 7.5 % ต่อปีเป็นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ปัจจุบัน ที่มีอัตราเฉลี่ย 0.5% ต่อปีมาก ทำให้ลูกหนี้ได้รับความเดือดร้อนจากภาระดอกเบี้ย และทำให้เกิดการประวิงเวลาฟ้องคดีของเจ้าหนี้เพื่อหาประโยชน์จากความไม่เหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยในกฎหมาย
นายอาคม กล่าวว่า เจ้าหนี้ได้กำหนดวิธีคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ในลักษณะเอาเปรียบและไม่เป็นธรรมกับเจ้าหนี้เป็นจำนวนมาก โดยเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ในงวดใดเจ้าหนี้อาจคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดในงวดนั้นได้จากต้นเงินที่คงค้างทั้งหมด แทนที่จะคำนวณจากต้นเงินในงวดที่ถึงชำระแล้วเท่านั้น ซึ่งเมื่อลูกหนี้ผิดนัดหลายงวดติดต่อกัน จะทำให้ดอกเบี้ยผิดนัดจะสะสมเป็นจำนวนที่สูงมาก ทำให้ลูกหนี้มีหนี้สินเพิ่มขึ้นส่งผลต่อกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะนี้ประเทศไทยประสบปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ทำให้ประชาชนและผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจำนวนมาก ไม่สามารถชำระหนี้ได้ดังช่วงเวลาปกติ
“จากปัญหาดังกล่าวจึงจำเป็นต้องแก้ไขและเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพ.ร.ก.ฉบับนี้ โดยสาระสำคัญของพ.ร.ก.ฉบับนี้ 1.ได้แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 7 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งปรับอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้กำหนดไว้ก่อนหรือไม่ได้มีกฎหมายกำหนด ลดจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมสภาพเศรษฐกิจตามข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย และกำหนดให้กระทรวงการคลังทบทวนได้ทุก 3 ปี 2.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 224 เป็นการปรับปรุงดอกเบี้ยผิดนัด ปรับลดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงนี้ เป็นอัตราที่กำหนดตามมาตรา 7 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ร้อยละ 3 ต่อปี บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตรงเวลา” นายอาคม กล่าว
นายอาคม กล่าวว่า 3.เพิ่มมาตรา 224/1 โดยกำหนดฐานการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในงวดใดงวดหนึ่ง เจ้าหนี้คำนวณดอกเบี้ยผิดนัดได้เฉพาะจากเงินต้นของงวดที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้วเท่านั้น ซึ่งเจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยจากเงินต้นที่ค้างอยู่ทั้งหมดไม่ได้ และข้อตกลงใดที่ขัดกับหลักการนี้ ให้ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ และ 4.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดนี้ ให้ใช้กับการคิดดอกเบี้ย/การคิดดอกเบี้ยผิดนัด/การคิดดอกเบี้ยผิดนัดในงวดที่ถึงกำหนดเวลาชำระ ตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ ใช้บังคับ (11 เม.ย. 2564) แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงการคิดดอกเบี้ยในระหว่างช่วงเวลาก่อนที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ต้องขอชมเชยการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมไม่ว่าจะเป็นการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดชำระหรือปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งที่ไม่ได้กำหนดไว้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ย เงินฝาก เงินกู้ ปรับลดลงแล้ว แต่ต้องบอกว่าเป็นความเป็นธรรมที่มาล่าช้า ประชาชนต้องรอเกือบ 100 ปี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดอัตราดอกเบี้ยที่ไม่ได้บรรจุไว้ในสัญญาที่ 7.5 เปอร์เซ็นต์ ออกมาตั้งแต่ปี 2468 โดยเฉพาะการคำนวณดอกเบี้ยผิดนัดที่ผิดนัดงวดเดียว แต่ถูกคิดดอกเบี้ยผิดนัดจากเงินต้นที่เหลือทั้งหมด ถือว่าเอารัดเอาเปรียบลูกหนี้ ต้องมีลูกหนี้แบกรับภาระที่ไม่เป็นธรรม ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาก่อนใครจะรับผิดชอบ
ขณะที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายเรียกร้องให้ประธานสภาฯ ส่งพ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวส่งศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตีความว่า การให้อำนาจกระทรวงการคลัง เพื่อขึ้นดอกเบี้ยโดยไม่ผ่านกระทรวงนั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 หรือไม่ ซึ่งกรณีที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพระราชกฤษฎีกา ปรับเพิ่มดอกเบี้ยได้นั้นประชาชนได้รับผลกระทบและตนมองว่าอาจเป็นการช่วยเหลือนายทุน
“พ.ร.ก.ฉบับนี้เหมือนจะดี แต่ไม่ดี เหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษ เพราะการให้อำนาจกระทรวงการคลังพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ว่าจะลดลงหรือเพิ่มขึ้นให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เป็นพระราชกฤษฎีกาทุก ๆ 3 ปีเท่ากับสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตามอำเภอใจ เช่น ร้อยละ 7 เท่ากับเขียนเช็คเปล่าให้กระทรวงการคลังไปดำเนินการ ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ มีแต่โทษกับโทษ ทั้งกระบวนการออกกฎหมายของรัฐบาลชุดนี้ใช้วิธีปิดปากสภาฯ ไม่สามารถแก้ไขได้ในสภาฯเลย” นายธีรัจชัย กล่าว
นายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การที่บอกว่าประชาชนได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง สะท้อนสภาพการณ์ปัจจุบัน เอสเอ็มอีจะได้ประโยชน์ลดการฟ้องร้อง เพราะภาระดอกเบี้ยลดลง โดยเฉพาะดอกเบี้ยผิดนัด ซึ่งตนสนับสนุนการดำเนินการเรื่องนี้ แต่ไม่สะเด็ดน้ำเพราะยังมีปัญหาอยู่มาก ซึ่งประชาชนตั้งความหวังสูง เพราะเห็นข้อความที่ยื่นเข้าครม.ทำให้คนคาดหวังว่าดอกเบี้ยลงทันที เพราะมาตรการที่ใช้ออกเป็นพ.ร.ก.คือต้องรวดเร็ว เข้มข้น เป็นธรรมและทั่วถึง ถ้วนหน้า ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ดอกเบี้ยไม่ลดลงเลย ส่วนต่างดอกเบี้ย 3 เปอร์เซนต์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)แนะนำ
“จากตัวเลขเมื่อ 2วันที่ผ่านมาพบว่าประเทศไทยมีส่วนต่างดอกเบี้ย 5.2 เปอร์เซนต์ และทุกประเทศในภูมิภาคนี้มีตั้งแต่ 1-4.6 เปอร์เซนต์ และในเอเชียแปซิฟิก เราแชมป์ แต่เป็นแชมป์ที่เป็นภาระแก่ประชาชน และค่าเฉลี่ยไม่สะท้อนปัญหาคนจน คนมีน้อยได้ดอกเบี้ยเงินฝากน้อย จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูง คนมีมากได้ดอกเบี้ยเงินฝากสูง จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้น้อยกว่า และเห็นว่าคนที่ได้ประโยชน์จากพ.ร.ก.ฉบับนี้มีน้อยมาก และแก้ปัญหาสินเชื่อในระบบได้เพียง 0.1 เปอร์เซนต์เท่านั้น แล้วอย่างนี้ถือว่าเร่งด่วนอย่างไร หากเป็นเช่นนั้นขอเสนอให้ออกพ.ร.ก.อีกฉบับหนึ่งได้ โดยให้ครอบคลุม” นายเกียรติ กล่าว
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ประชาชน แต่เอื้อให้กับนายทุน อีกทั้งยังส่งผลให้ธนาคารเกิดความสับสน การคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่ให้กับลูกหนี้ และอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาล ทำให้เกิดความวุ่นวายในอนาคต จึงเห็นว่ารัฐบาลควรออกพ.ร.ก.อีก 1 ฉบับเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับเดิมให้เกิดความความชัดเจน
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชามติ กล่าวว่า รัฐบาลส่อเอาทุกข์ร้อนของประชาชนชิงออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ที่ไม่สุจริต และว่า “ท่านรู้ปัญหาความทุกข์ยาก จึงไปแก้ แต่ท่านไม่กำหนดเรื่องนิติกรรมไว้ เรื่องนี้มาจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งรู้สึกเจ็บปวดที่จะผลักดัน” พ.ต.อ.ทวี กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังสมาชิกอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้ว นายอาคม ชี้แจงว่า ทุกเรื่องที่สมาชิกเสนอมา โดยเฉพาะเรื่องความครอบคุลม กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในภาพรวมของรายละเอียดทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเปิดกว้างเรื่องการคิดดอกเบี้ย สิ่งที่กระทรวงให้ความสำคัญคือเน้นเรื่องความเป็นธรรม ดังนั้น ต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณสมาชิกที่ร่วมกันเสนอข้อเสนอต่าง ๆ ให้นำไปพิจารณาต่อไป จากนั้นที่ประชุมลงมติเห็นชอบ พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวด้วยคะแนน 403 ไม่เห็นชอบ 1 งดออกเสียง 2
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีส.ส.บางคนเช่น นายสมบัติ ศรีสุรินทร์ ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทยได้ขอถอดหน้ากากระหว่างอภิปราย แต่นายชวน หลีกภัยไม่อนุญาต ซึ่งนายสมบัติ กล่าวว่า เข้าใจและยอมปฏิบัติตาม.-สำนักข่าวไทย