กทม. 25 ก.พ.- ทบ.ระบุกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้พื้นที่ทหารผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ย้ำเจตนาเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน
พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏข้อมูลคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก ระหว่างกองทัพบก กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุในความครอบครองและใช้ประโยชน์ของกองทัพบกนั้น ขอชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 28 ม.ค.64 กองทัพบกได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนิน “โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก” ตามแนวความคิดในการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกด้วยแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์ฟาร์ม โดยใช้พื้นที่ราชพัสดุที่อยู่ในการดูแลของกองทัพบก ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ลดมลภาวะรักษาสิ่งแวดล้อม การศึกษาความเป็นไปได้ดังกล่าว เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่ต้องการสนับสนุนการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ โดยใช้ทรัพยากรในการดูแลของกองทัพบก ช่วยลดต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้า สอดคล้องกับนโยบายในการนำที่ดินราชพัสดุในการดูแลของกองทัพบกไปสร้างประโยชน์กับทางราชการและประชาชนส่วนรวมอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ทั้งนี้ หลังจากได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงแล้ว ขณะนี้อยู่ในขั้นรวบรวมข้อมูล ศึกษาความเป็นไปได้ด้านพื้นที่ พิจารณาแนวทางดำเนินการ และศึกษาข้อกฎหมายและระเบียบของทางราชการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ มีกรอบระยะเวลาประมาณ 2 ปี หากผลการศึกษาออกมาในรูปแบบใด ก็จะร่วมกันพิจารณาดำเนินการต่อไป พร้อมย้ำว่า โครงการฯ ดังกล่าวยังอยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้เท่านั้น ทั้งนี้ หากเห็นชอบร่วมกันว่าโครงการฯ มีความเป็นไปได้ กองทัพบกจะได้ดำเนินการส่งมอบพื้นที่ราชพัสดุในความครอบครองและใช้ประโยชน์ของกองทัพบกดังกล่าวให้กับกรมธนารักษ์ เพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ดำเนินการขอเช่าพื้นที่กับกรมธนารักษ์ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า กองทัพบกไม่ได้มีนโยบายที่จะดำเนินโครงการฯ ในเชิงพาณิชย์ แต่มุ่งหวังเพื่อต้องการให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม และเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องตามกฎหมาย และใช้ที่ดินราชพัสดุ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสำคัญ.-สำนักข่าวไทย