ส.ว.เดือด! ค้านแก้ไข รธน.

รัฐสภา 23 ก.ย.- ส.ว.เดือด ค้านแก้ไขรัฐธรรม บอกไม่ใช่เรื่องด่วน สิ้นเปลืองงบประมาณ ด้าน ส.ส. รัฐบาล-ฝ่ายค้านหนุนตั้ง ส.ส.ร. ชี้เป็นทางสายกลาง เชื่อช่วยลดบรรยากาศความขัดแย้ง


การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จำนวน 6 ญัตติ ตลอดช่วงบ่ายเป็นไปอย่างเข้มข้น เมื่อสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ส่วนใหญ่ อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สนับสนุนและชี้ ไม่เห็นถึงความจำเป็นของการแก้ไขวันนัดธรรมนูญด้วยการเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.)

พลอากาศตรีเฉลิมชัย เครืองาม ส.ว. อภิปรายร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ว่า อุปสรรคของการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือมีคำถามว่าจะต้องไปทำประชามติสอบถามประชาชนก่อนที่จะลงมติวาระหนึ่งหรือไม่ ซึ่งส่วนตัวไม่ขัดข้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่ได้อยู่ใต้อาณัติใคร แต่ถ้ารู้สึกขัดข้องหมองใจก็ยินดีลาออกจากการเป็นสมาชิกวุฒิสภาถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่เห็นว่าหลักการที่ถูกต้องควรกลับไปถามประชาชนก่อนว่าจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ดังนั้นควรทำมติในเรื่องนี้ 2 ครั้ง โดยหลังจากยกร่างรัฐธรรมนูญแล้วจึงต้องถามประชาชนอีกเหมือนกันว่าประชาชนชอบพึงพอใจกับเนื้อหาของรัฐธรรมนูญที่ร่างใหม่หรือไม่ ความเห็นส่วนตัวตนเห็นว่าควรทำมติ 2 ครั้ง แล้วในที่สุดควรยุบสภาเพื่อเลือกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เมื่อไหร่ เพราะต้องมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีกดังนั้นควรปรึกษาหรือว่าจะเดินเรื่องนี้อย่างไร เพราะถ้าดูไทม์ไลน์หรือเงื่อนเวลาแล้วต้องใช้เวลาอีกนาน


ด้านนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว. อภิปรายว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาโควิด-19 ซึ่งองค์การอนามัยโลกชื่นชมว่าไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี แต่เหตุใดถึงมีการพูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงที่รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาโควิด-19 จึงไม่แน่ใจว่าประชาชนจะได้ประโยชน์อะไรจากการแก้รัฐธรรมนูญในช่วงนี้ และทำให้บาปกรรมมาตกอยู่ที่ ส.ว. หากตนอยากปิดสวิตช์ ส.ส.บ้างจะทำได้หรือไม่ ทั้งนี้ ตนเองเกิดมาอายุ 74 ปี เห็นการทำรัฐประหารมาแล้วหลายครั้ง ต้องบอกว่าทหารก็รักประชาธิปไตยเหมือนกัน และสาเหตุที่ต้องมีการรัฐประหารส่วนหนึ่งก็มาจากความขัดแย้ง ซึ่งที่ต้องพูดเชื่อมโยงแบบนี้ เพราะอยากรู้ว่าหากแก้รัฐธรรมนูญแล้วประเทศชาติได้ประโยชน์อะไร ที่สำคัญส่วนหนึ่งเห็นว่าการแก้รัฐธรรมนูญมาจากกลุ่มที่ชุมนุมในวันที่ 19-20 ก.ย. จะเรียกนักเรียนนักศึกษาอะไรก็ตาม แต่ความจริงปรากฏว่าไม่ได้เรียกร้องอะไรเพื่อประชาชน นอกจากการมุ่งโจมตีสถาบันที่คนไทยเคารพนับถือ และสมาชิกบางพรรคเห็นดี เห็นงามไปด้วย จึงไม่ทราบว่าสมาชิกในพรรคเดียวกันยอมได้อย่างไร

นายจเด็จ ยืนยันรัฐธรรมนูญแก้ได้ แต่ที่ต้องกำหนดให้แก้ยาก เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีการขอแก้ไขกันอยู่เรื่อยๆ ทุก 2 ปี 3 ปี อีกทั้งในการตั้ง ส.ส.ร.จะต้องทำประชามติ 2 ครั้ง ใช้งบประมาณ 17,000-20,000 ล้านบาท ในยามนี้คงไม่มีใครกล้าพูดว่า เงินจำนวนนี้เพื่อประชาธิปไตยไม่ต้องเสียดาย เพราะงบประมาณนี้มาจากภาษีจากประชาชนทุกคนเช่นเดียวกัน ซึ่งหากการแก้ไขแล้วทำให้สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น ประเทศชาติมั่นคงตนก็เห็นด้วย แต่หากเป็นเหตุผลอื่นที่เป็นวาระซ่อนเร้น คงไม่สามารถยอมรับการแก้ไขได้

ด้านนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีการพูดถึงมานานแล้ว ตั้งแต่ที่มีการตั้งรัฐบาลใหม่ใหม่ไม่ใช่พึ่ง เกิดขึ้นมาในช่วงที่บ้านเมืองตกอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 หรือช่วงเหตุการณ์ 2-3 วันนี้


อีกทั้งยังมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ซึ่งผลจากที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ลงไปรับฟังความคิดเห็น ก็พบว่าทุกกลุ่มต่างเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลายประเด็น หลายมาตรา อาจจะยกเว้นหมวด 1 และหมวด 2 แต่ถ้าจะให้สภาเป็นผู้ดำเนินการแก้ไขก็คงต้องใช้เวลา จึงเป็นที่มาของข้อเสนอว่าควรจะมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการมี ส.ส.ร. เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ร่างโดย ส.ส.ร.ก็เป็นที่ได้รับการชื่นชมว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่มีประชาธิปไตย ส่วนจะต้องจัดทำประชามติหรือไม่ เห็นว่าหากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบในชั้นรับหลักการ และเมื่อผ่านวาระที่ 3 แล้วก็มีความจำเป็นในการจัดทำประชามติ

นายบัญญัติ ยังกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตของสมาชิกรัฐสภาว่า งบประมาณที่ต้องใช้จ่ายในการทำประชามติถึง 2 ครั้ง กว่า 10,000 ล้านบาท อยากให้มองถึงความสำคัญ แน่นอนว่างบประมาณแผ่นดินในเวลานี้จำเป็นต้องคำนึงถึงการใช้จ่าย และต้องสำรองไว้เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ แต่ถ้าคิดถึงความสำคัญของรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นกฎหมายที่กำหนดโครงสร้าง กำหนดความสำคัญ กำหนดบทบาทอำนาจหน้าที่ของสถาบันและองค์กรที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญทั้ง เศรษฐกิจการเมือง สังคม เป็นกฎหมายสูงสุดที่รับรองสิทธิเสรีภาพและสิทธิประโยชน์ของประชาชน เป็นแม่บทในการกำหนดหลักการในการอำนวยความยุติธรรม ความเที่ยงธรรมให้กับประชาชนในทุกด้าน เมื่อรัฐธรรมนูญมีความสำคัญเช่นนี้ การจะนำงบประมาณบางส่วนมาใช้ในการจัดทำประชามติก็เป็นเรื่องที่ควรแก่การกระทำเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ ส่วนตัวมีความมั่นใจว่าหลายคนเปิดกว้างทางการเมืองพอสมควร และคนที่สนใจติดตามการเมืองมาตลอดคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำอย่างยิ่ง และต้องยอมรับว่าข้อกฎหมายหลายข้อบกพร่องในการบังคับใช้ จะปล่อยให้ข้อบกพร่องนี้ยังคงอยู่หรือไม่ และก่อให้เกิดความขัดแย้งความเสียหายในประเทศจึงไม่ควรเพิกเฉย ย้ำว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการมี ส.ส.ร. ถือเป็นทางสายกลางที่หลายฝ่ายน่าจะยอมรับกันได้ ทั้งคนที่อยากให้แก้หลายมาตรา ก็จะใช้เวทีนี้ ในส่วนของ ส.ว.หรือรัฐบาลก็ถือว่ามีเวลาตั้งหลักมาพอสมควรในการที่จะช่วยกันปรับปรุงรัฐธรรมนูญเพื่อทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฏหมายสูงสุดของประเทศถือเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการดึงหลายฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำให้เกิดความปรองดองและเห็นภาพความร่วมมือที่จะช่วยลดความคลี่คลายความขัดแย้งที่มีอยู่ให้ลดน้อยถอยลง อีกทั้งยังได้รัฐธรรมนูญที่มีหลักเกณฑ์ และคู่ควรกับการเป็นกฎหมายประเทศ จึงหวังว่าการแก้ไขประธรรมนูญด้วยการเปิดทางให้ใหม่ ส.ส.ร. จะได้รับการสนับสนุน

ด้านนายวงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี อภิปรายตอกย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะแก้ไข ทั้งที่ใช้มาได้เพียงปีกว่า และประชาชนก็ไม่ได้เดือดร้อนจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ปิดช่องโหว่รัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 ไม่ให้เกิดเผด็จการรัฐสภา จนมาถึงวันนี้ เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง

ส่วนที่ ส.ว.ชุดนี้โหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเขามีเสียงของ ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง จึงขออย่าดูถูกสมองของ ส.ว. เพราะคิดวิเคราะห์แยกแยะเป็น และ ส.ว.เลือกเพราะพลเอกประยุทธ์ มีคะแนนนิยมสูงสุด ไม่ต้องเป็น ส.ว. เป็นชาวบ้าน เขาก็รู้ว่าจะเลือกใคร วุฒิภาวะมันได้หรอ และคิดว่าที่มาของ ส.ว.และ ส.ส.ควรจะต่างกัน เพราะทำหน้าที่คนละอย่างกัน เพราะหากมาจากที่เดียวกัน มันจะเป็นอย่างไร สมาชิกวุฒิสภามาทำหน้าทั้ตามบทเฉพาะกาลที่เขียนไว้ชัดเจนว่า เข้ามาปฏิรูปประเทศ มากลั่นกรองกฎหมาย จึงต้องมีคุณวุฒิลึกซึ้งทุกด้าน

นอกจากนี้ยังกล่าวการแสดงออกของกลุ่มผู้ชุมนุมว่า อยากให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ชาติไทยให้ถ่องแท้ ไม่ใช่เรียนแค่สองหน้ากระดาษ

“ขอให้บ้านเมืองเดินไปอย่างราบรื่นบ้างได้ไหม ลงถนนกันตะพึดจะพือ ทุกปีเลย ยังไม่ทันจะทำอะไร ก็ลงถนนกันอีกแล้ว มันมีคนอยู่เบื้องหลังครับ ขอเท็จจริงเป็นแบบนั้น ประชาชนไม่เห็นเดือดร้อนอะไร เพราะฉะนั้น กลับมาตั้งหลักกันใหม่ กลับมาพิจารณากันใหม่ว่าวันนี้เรื่องมันด่วนจริงหรือไม่ ถ้าด่วนจริง เข้ามาตั้งแต่ 3 เดือนแล้วก็ยื่นเลย นี่มันปีกว่าแล้ว” นายวงศ์สยาม กล่าว

ขณะที่นายสุพล จุลใส ส.ส.ชุมพร พรรครวมพลังประชาชาติไทย อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกถึงเหตุการณ์เผด็จการรัฐสภาในอดีตที่ใช้เสียงข้างมาก เช่น การเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ทำสนธิสัญญาโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา, การแก้ไขที่มา ส.ว.ให้ตกอยู่ในอิทธิพลของฝ่ายการเมือง กรณีเหล่านี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าเป็นการกระทำที่มิชอบ และที่สำคัญคือการผลักดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนเกิดเหตุที่ กปปส. ต้องออกมาประท้วง ซึ่งเผด็จการรัฐสภานั้น เป็นผลพวงจากระบบการเลือกตั้งที่ไม่เหมาะสม จึงมีการปรับระบบการเลือกตั้งที่ได้ผลดี หากแก้ไขกลับไปใช้แบบเดิม เผด็จการรัฐสภาจะกลับมาอีก

นายสุพล กล่าวว่า นอกจากนั้น ยังบัญญัติไม่ให้ผู้มีประวัติเสียหายลงสมัครรับเลือกตั้ง, ไม่ให้ ส.ส. หรือ ส.ว.แปรญัตติงบประมาณแผ่นดินมาใช้, ห้ามก้าวก่ายแทรกแซงเลื่อนยศข้าราชการ ป้องกันให้รัฐมนตรีทำความเสียหาย โดยกำหนดคุณสมบัติซื่อสัตย์สุจริตอันเป็นที่ประจักษ์ และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง หากมีการแก้ไขใหม่ ไม่แน่ใจว่าจะเขียนป้องกันได้แข็งแกร่งเหมือนเดิมหรือไม่ รวมถึงยังเป็นรัฐธรรมนูญที่มีการบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไว้ ดังนั้นการร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ เสียโอกาสการพัฒนา โดยเฉพาะที่กำลังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะทำให้การปฏิรูปประเทศชะงัก อย่างเสียเวลาวุ่นวายกับรัฐธรรมนูญที่กินไม่ได้

จากนั้นเป็นการอภิปรายของนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายพาดพิงถึงการทำหน้าที่ของวุฒิสภา (ส.ว.) ที่เหมือนจับเอาคนพิการมือด้วน 250 คนมาไว้รวมกัน โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้ควบคุม ทำให้นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นประท้วงทันทีพร้อมยืนยันว่า ส.ว. เข้ามาตามรัฐธรรมนูญ แต่บางครั้งก็มีนักการเมืองบางคนที่แอบอยู่ใต้กระโปรงนักเรียน ทำให้นายชวน หลีกภัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมต้องปิดไมค์ และกล่าวเตือนสมาชิกว่าในสภาผู้แทนราษฎรไม่ควรกล่าวถึงสถาบัน และขอให้ทั้งสองฝ่ายถอนคำพูดที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากเกรงว่าอาจทำให้เกิดการประท้วงยืดเยื้อบานปลายเสียเวลาในการอภิปราย แต่สถานการณ์ก็ยังไม่จบเนื่องจาก ส.ส. พรรคก้าวไกล หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วง ขอให้นายกิตติศักดิ์ถอนคำพูดที่ไม่เหมาะสม โดยนายกิตติศักดิ์ ได้ยอมถอนคำพูด เหตุการณ์จึงจบลง. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ไร้คู่แข่ง “ไชยา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1

รัฐสภา 7ส.ค. – “ไชยา พรหมา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แบบไร้คู่แข่ง ประกาศพร้อมจับมือทุกฝ่ายทำให้สภาฯ เป็นที่พึ่งของประชาชน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาลงมติเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอชื่อนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เพียงชื่อเดียว จากนั้นนายไชยา ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ขอบคุณประธานฯ และสมาชิก ที่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขอยืนยันว่าจะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงานทางการเมืองตลอดชีวิตการทำงานเพื่อสภาฯ แห่งนี้ อย่างน้อยสถาบันนิติบัญญัติเป็นกลไกที่มีความสำคัญไม่แพ้อำนาจฝ่ายบริหาร ประธานฯ และตัวไชยาเอง อยู่สภาฯ นี้มานาน ได้ผ่านกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมือง สถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันแต่ละยุคสมัย อยากเห็นองค์กรนิติบัญญัติแห่งนี้เป็นที่พึ่งของที่น้องประชาชนต่อไป และสิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือ อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน […]

เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ

มาเลเซีย 7 ส.ค.-เสร็จสิ้นแล้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ นับจากการประชุม […]

แม่ทัพภาค 2 เชื่อผลประชุม GBC เป็นทิศทางที่ดี

7 ส.ค. – มทภ.2 ขอรอผลอย่างเป็นทางการหลังประชุม GBC เชื่อจะไปในทิศทางที่ดี เมิน “ฮุนเซน” ขอไทยงดใช้ F-16 ร้องนานาชาติ หยุดขายเครื่องบินรบให้ไทย ส่วนกรณีสายลับเขมร รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนโลเคเตอร์ เครื่องจับพิกัดตัวโดรน รวม 30 เครื่อง มูลกว่า 8 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อนำไปมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้จะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พลโท บุญสิน บอกว่ารอการชี้แจงอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะดีขึ้น ย้ำว่า ในข้อเสนอ 8 เรื่อง 6 ประเด็น ตนให้ความสำคัญ ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้น คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก เน้นย้ำให้ทหารหน้าแนวตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และตรึงกำลังไว้ตลอด เรื่องแผ่นดินไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้ […]

“พล.อ.ณัฐพล” เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย

มาเลเซีย 7 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล” รมช.กลาโหม เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย ก่อนถก GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ บ่ายนี้ เมื่อเช้าวันนี้ (7 ส.ค. 68) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมคำนับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้และเป็นเจ้าภาพของสถานที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสแรกที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้พบกันในระดับรัฐมนตรีก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม GBC สมัยวิสามัญ ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ Deputy Minister of Defence pays courtesy call on Malaysian Prime Minister before Extraordinary Session […]