รัฐสภา 28 ก.ย.-“จุรินทร์” ให้ฉายา “รัฐบาลหนูตกถังข้าวสาร” เป็นรัฐบาลแต้มต่อ เพราะเข้ามาบริหารก็มีเงินมากอง ไม่ต้องออกแรง มีนโยบายสำเร็จรูป โดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ คือ MOA ชม ครม.คนนอก ถูกฝาถูกตัว โดยเฉพาะ “สีหศักดิ์” แจงเวทียูเอ็น ทำ “อนุทิน” พลอยได้หน้า เสียดายบ่งตำแหน่งชักใบให้เรือเสีย บอก นายกฯ นายแน่มาก กล้าตั้ง รมต. คนรัฐบาลก่อนไม่กล้าตั้ง พร้อมฝากคาถา 5 ข้อเตือนสติ อย่าลุแก่อำนาจห้ามแซกแทรงกระบวนการยุติธรรม
นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายนโยบายรัฐบาลว่า ต้องแสดงความยินดีกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายอนุทิน ชาญวีรกูล และนโยบาย Quick win เป็นนโยบายแรกที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังไม่แถลง โดยขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีกับ ครม. ทุกคนที่ได้รับโปรดเกล้าฯ ซึ่งจากนี้ตนและพรรคประชาธิปัตย์ จะขอทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันจะไม่ตามทุกเรื่อง จะว่าไปตามเนื้อผ้า ไม่มีอคติ ไม่มีบุญคุณความแค้นใดๆ และพร้อมที่จะทำหน้าที่ร่วมกับพรรคฝ่ายค้านทุกพรรค เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบนโยบายและการบริหารราชการแผ่นดิน
ซึ่งถ้าดูนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ จะพบว่า มี 7 หน้า 5 หมวด โดยทำนโยบายแบบมหาสมุทร แทนที่จะเจาะจง เพราะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ เข้าใจว่า นายกฯ ต้องการวางรากฐานสำหรับอนาคต และที่ตนสรุปเป็นพิเศษ คือ นโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้งที่ผ่านมา ล่องหนหายตัว ไม่มีปรากฏอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ หลายนโยบาย มีคำตัดพ้อของรัฐบาลที่ปรากฏชัดเจนในหน้าที่ 2 ที่ระบุว่า รัฐบาลชุดนี้มีข้อจำกัด 3 ข้อ 1.เวลาจำกัด 2.ไม่ได้จัดทำงบประมาณด้วย และ 3.เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือรัฐบาลเป็ดง่อย
ทั้งนี้ เชื่อว่า ประชาชนทราบดี ว่า เกิดจากการเมืองภาคพิสดาร รัฐบาลจะโทษใครไม่ได้ เพราะรัฐบาลเป็นคนเลือกเอง และเลือกทางเดินนี้ด้วยความเต็มใจ ซึ่งนายกฯ เป็นธุรกิจ คงบวกลบคูณหารเรียบร้อยแล้ว และคิดว่าคุ้ม ที่จะแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลกับข้อจำกัด 3 ข้อ อีกทั้งคุ้มที่จะเป็นรัฐบาลต่างตอบแทน ฝ่ายหนึ่งได้ตำแหน่งนายกฯ และได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล อีกฝ่ายหนึ่งได้ยุบสภา ได้แก้รัฐธรรมนูญ ถ้าจะบอกว่าเวลาเป็นข้อจำกัด ก็อาจจะใช่ แต่อาจจะไม่ใช่ ก็พูดได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้อยู่แค่ 4 เดือน แต่อาจจะอยู่ 8-9 เดือน ถ้ายุบสภาตามสัญญาที่นายนายกฯ พูด ปลายเดือนมกราคม ก็กินเวลาเป็น 4 เดือนกว่าแล้ว รวมกับเวลาช่วงหาเสียงและประกาศผลเลือกตั้ง จนถึงถวายสัตย์ปฏิญาณและรัฐบาล จึงจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่ารัฐบาลชุดที่แล้วแค่เดือนกว่า เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วอยู่ 10 เดือนครึ่ง
นายจุรินทร์ ยังระบุอีกว่า รัฐบาลชุดนี้มีแต้มต่อมากกว่ามีข้อจำกัดอย่างน้อยมี 4 ข้อ
- มีการโหวตเลือกนายกโดยไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้ นายกฯ กลายเป็นหนูตกถังข้าวสาร มีเก้าอี้รัฐมนตรีมาแบ่งปัน กันเหลือเฟือที่สุดในประวัติศาสตร์ของระบบรัฐสภา
- เมื่อรัฐบาลชุดนี้ เข้าบริหาร ก็มีเงินมากองไว้ทันที เพราะมีงบเหลือจ่าย ปี 68 รออยู่แล้ว 60,000 ล้านบาท ส่วนงบปี 69 จำนวน 3.78 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะงบฉุกเฉิน 9.8 หมื่นล้านบาท ที่รอใช้วันที่ 1 ตุลาคม
- มีนโยบายสำเร็จรูปเตรียมไว้ให้แล้ว โดยผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ หรือ MOA ที่คิดไว้ให้เสร็จสรรพว่า ต้องทำอะไรบ้าง และสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที
- เหลือให้คิดเอง 3 เรื่อง คือ นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา การจัดคณะรัฐมนตรี และการทำนโยบายให้สำเร็จ
ส่วน MOA ที่ประชาชนบ่นน้อยใจว่าไม่ได้มีมีปัญหาของประชาชนอยู่ในสมการ พอเข้าใจได้ ช่วงนั้นต้องแย่งชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายกฯ อาจจะหลงลืม สุดท้ายไม่ยอมรับ เพราะ MOA เป็นแค่ตกลงระหว่างพรรคการเมือง ไม่มีผลผูกพันต่อรัฐสภา ถ้าไม่นำมาบรรจุไว้นโยบาย
นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงการจัด ครม. ที่แบ่งเป็นคนในและคนนอก ขอชมด้วยความจริงใจ หลายตำแหน่งนายกฯ จัดได้ดี ถูกฝาถูกตัว แต่น่าเสียดาย มีบางตำแหน่งกลายเป็นชักใบให้เรือเสีย ทำให้ ครม. ชุดนี้ กระดำกระด่าง เชื่อว่า นายกฯ คงรู้อยู่แกใจ ดูได้จากที่นายกฯ นำคนนอกมาเปิดตัวด้วยตัวเอง
สำหรับบางตำแหน่งนายกฯ ไม่กล้าเอามาเปิดตัว เหมือนจะทำลับๆล่อๆให้วิพากษ์วิจารณ์ แต่สุดท้ายหวยล็อกก็ออก แต่สำหรับคนใน เข้าใจได้ เพราะตนเคยเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน เข้าใจเรื่องโควตา
“พรรคการเมือง ตนไม่มีอะไรวิจารณ์ แต่ขอชมนายกฯ ว่า นายแน่มาก ที่กล้าตั้งรัฐมนตรี ที่แม้แต่รัฐบาลชุดที่แล้ว ก็ไม่กล้าตั้ง เพราะไม่อยากเสี่ยงตามรอยนายกเศรษฐา เมื่อตั้งแล้ว ท่านก็ต้องรับผิดชอบแล้วก็ขอให้ ครม.ชุดนี้ ปฏิบัติภารกิจให้ดีที่สุด” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ยังกล่าวถึงการตั้ง โจทย์ประเทศของรัฐบาลชุดนี้ มี 4 ภัย คือ ภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยพิบัติธรรมชาติ แต่ตนมองว่า ยังไม่ครบ ยังมีภัยที่สำคัญอีกอย่าง คือ ภัยทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา
นายจุรินทร์ กล่าวถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการทำประชามติ ตนเชื่อว่า หลายคนบ่นว่านโยบายนี้ มาผิดที่ผิดเวลา ประชาชนวิจารณ์ว่าอยากเห็นการแก้ปากท้องมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญ เพราะบทเฉพาะกาลที่เป็นปัญหาใหญ่ของรัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านไปแล้ว ซึ่งปัญหาที่เหลือสามารถแก้รายมาตราได้ แต่เมื่อรัฐบาลแลกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯ ก็ต้องรับผิดชอบ โดยตนขอตั้งคำถาม 2 ข้อ ดังนี้
- การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องไม่แตะหมวดหนึ่งหมวดสอง แต่หากมีร่างฉบับใดเสนอเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา และไม่กำหนดเงื่อนไขดังกล่าว รัฐบาลชุดนี้จะยกมือให้หรือไม่
- หากการแก้รัฐธรรมนูญ ไปแก้มาตรา 160 (4) (5) เรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ศาล และองค์กรอิสระ ที่ระบุว่าต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และต้องไม่มีพฤติกรรม ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง นายกฯ จะสนับสนุนให้มีการแก้ต่อไปหรือไม่
ส่วนการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา นายจุรินทร์ ถามว่า ที่ คำแถลงนโยบายของรัฐบาลเขียนไว้ว่า พื้นที่ของเราตามเส้นเขตแดนที่เป็นสากลที่ถูกครอบครอง จะยึดคืนมาให้หมดด้วยใช่หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่รักษาไว้ แต่อะไรที่สูญเสียไป รัฐบาลมีนโยบายจะเอาคืนกลับคืนมาด้วยใช่หรือไม่
ขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ใช้นโยบายการทหาร นำเศรษฐกิจ-การทูต เชื่อว่า รัฐบาลฝ่ายค้านและประชาชน ชื่นชมให้กำลังใจกองทัพ และผู้เสียสละในแนวหน้าทุกคน เชื่อว่าทุกคนเห็นด้วยกับการปิดด่าน จนกว่าเขมรจะหมดจากความเป็นไทย พร้อมชื่นชม ด้านการทูตที่เมื่อวานนี้ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงที่เวที UNGA ทำหน้าที่ได้ดีอย่างยิ่งทำให้นายกฯ พลอยได้หน้าไปด้วย
ส่วนเรื่องบ่อนของกัมพูชาที่สร้างล้ำเขตแดนไทยเข้ามา จะจัดการอย่างไร เพราะในคำแถลงนโยบาย เขียนไว้ชัดเจนว่าจะจัดการกับ บอลผิดกฎหมายให้สิ้นซาก รวมถึงเรื่องการยกเลิก MOU จัดทำเมื่อไหร่ กี่โมง ทำพร้อมกันกับประชามติแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่
นายจุรินทร์ยังฝากถึงสินค้าเกษตรห้าชนิด ข้าวมันที่ราคาตกต่ำ ข้าว ปาล์ม ยางพารา มัน ข้าวโพด และผลไม้ ซึ่งปีนี้ถือว่าราคาข้าวตกต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี เพราะการส่งออกมีปัญหาจากค่าเงินบาทแข็ง อีกทั้งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และจีน ซื้อข้าวน้อยลง และปีหน้าตลาดญี่ปุ่นต้องซื้อข้าวจากสหรัฐเพิ่ม 45% กรณีภาษีทรัมป์ ทำให้โควตาส่งออกเข้าไปญี่ปุ่นน้อยลง ดังนั้น จึงอยากถามว่ารัฐบาลมีนโยบายอย่างไรที่จะช่วยโรงสีระบายข้าว หรือจะนำนโยบายประกันราคาสินค้าเกษตรของตนมาใช้ก็ไม่ติด
นายจุรินทร์ ไม่ขอท้วงติงนโยบายคนละครึ่ง เพราะสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ ที่คนไทยกำลังหายใจรวยริน ขาดกำลังซื้อ ขอให้รัฐบาลรีบทำ พร้อมชมรัฐบาลว่าคิดแยบยลมากกับนโยบายนี้ เพราะแบ่งเป็นสองเฟส เฟสแรก ตุลาคม-พฤศจิกายน เฟส 2 ธันวาคม-มกราคม ซึ่ง เป็นช่วงยุบสภาและเลือกตั้ง
ส่วนที่รัฐบาลจะรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัดซึ่งมีการระบุว่า เจ้าพนักงานคนไหน ใช้กฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยประโยชน์ทางการเมือง ถือว่าผิดวินัยร้ายแรง และต้องถูกดำเนินคดีอาญาแปลว่า ใครที่ไปช่วยหาเสียง เพื่อประโยชน์ทางการเมืองกันแกล้งใฝ่ตรงข้ามรัฐบาลนี้จะจัดการโดยเด็ดขาด นอกจากผิดวินัยต้องดำเนินคดีทางอาญา มองว่า เป็นนโยบายที่ดีไม่มีการท้วงติงแต่อยู่ที่ภาคปฏิบัติ อย่างน้อยนโยบายนี้ต้องกรมราชทัณฑ์ไว้ได้ว่า อย่าเอื้อนักการเมืองคนใดให้ปฏิบัติไปตามกฎกติกาโดยเคร่งครัด และกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ที่ทำอยู่ 2-3 คดี ไม่ต้องเอ่ยว่า เป็นคดีใด เพราะรู้กันทั้งประเทศ ถ้ายังเดินหน้าทำนโยบายต่อและถ้ายังมีนโยบายนี้จะเข้าข่ายทำผิดตามนโยบายหรือไม่ ซึ่งเป็นข้อกังวลอยู่
ในช่วงท้าย ขอฝากคาถา 5 ข้อ คือ
- ขอให้รัฐบาลละลึกถึงคำถวายสัตย์ปฏิญาณไว้เสมอ ไม่โกงเพราะจะมีอันเป็นไป ทวนเป็นอาวุธมีไว้รบกับเขมรไม่ใช่มีไว้ทิ้งก่อนยุบสภา
- อย่าใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก เหมือนบางยุคบางสมัยที่ผ่านมาในการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการ เพราะนอกจากจะทำให้คนดีหมดกำลังใจอย่างเป็นการทำลายอนาคตของประเทศ
- อย่าเลือกปฏิบัติ ไม่ใช่พูดเพราะรัฐบาลจะทำแบบนั้นแต่อยากฝากไว้ในฐานะผู้แทนราษฎร อย่าเลือกพัฒนาเฉพาะพื้นที่ที่เลือกเรา เพราะพื้นที่ไหนที่ไม่เลือกเราเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน เชื่อว่านายกรัฐมนตรีเป็นผู้แทนมาหลายสมัยเข้าใจดี
- อย่าลุแก่อำนาจ ซ้ำรอยอดีตเพราะเราเคยเห็นมาแล้วทั้งอำนาจบริหารอำนาจนิติบัญญัติและผู้แทนราษฎรรวมถึงวุฒิสภาและองค์กรอิสระหากเผลอตัวเมื่อไหร่จบไม่สวย
- อย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นอกจากจะทำร้ายระบบนิติรัฐแล้ว ยังเป็นของแสลงสำหรับรัฐบาลชุดนี้เป็นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากทำได้ตนเชื่อว่าท่านจะกลับมา ส่วนจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน และพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ.-312 -สำนักข่าวไทย