รัฐสภา 29 ก.ย.-“ณัฐพงษ์” ชี้วันนี้เป็นหมุดหมายแรกของรัฐบาล 4 เดือนนับถอยหลังยุบสภา ลั่นในฐานะผู้นำฝ่ายค้านจะถ่วงดุลตรวจสอบเต็มที่ ย้ำพรรค ปชน. ไม่ได้โหวต “อนุทิน” มาใช้อำนาจมิชอบแทรกแซงคดีเขากระโดง- ฮั้ว สว. ขอเคารพข้อตกลง MOA -กระบวนการยุติธรรม-ประชาชน ลั่นไทยต้องมี รธน.ฉบับใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ มีเสถียรภาพ
การประชุมร่วมรัฐสภา ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ของ รัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม
โดยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวเปิดการอภิปรายนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่า นอกจากจะเป็นหมุดหมายแรกที่รัฐบาลจะเข้าทำหน้าที่ภายใต้กรอบระยะเวลา 4 เดือนอย่างเป็นทางการแล้วยัง ถือว่าเป็นหมุดหมายแรกของตนและพรรคประชาชนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพื่อนับถอยหลังสู่การยุบสภาแล้วมุ่งหน้าสู่การจัดทำประชามติ สู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เบื้องต้นขอให้ประธานรัฐสภานายกรัฐมนตรีและเพื่อนสมาชิกทุกคนลองหวนละลึกถึงวันที่ทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกตั้งเข้าคูหาครั้งแรกในชีวิตว่าประสบการณ์ในชีวิตของท่านนับตั้งแต่วันที่เข้าคูหาเลือกตั้งจนถึงวันนี้ท่านมีประสบการณ์ต่อการเมืองเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างไรบ้าง
โดยขอให้ลองดูที่รุ่นแรกที่อาจจะเกิดในยุค 2500 กว่าๆ ในวัยที่เขามีสิทธิเลือกตั้งในวัยหนุ่มสาว ในยุคที่เรียกว่าโชติช่วงชัชวาล จีดีพีของประเทศนั้นเติบโตเฉลี่ย 9.7% เพราะประเทศได้รับอานิสงส์ จากการเมืองโลกที่มีการทำข้อตกลงคาซ่า จนทำให้เงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมากและเราได้รับการขนานนามว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ใครก็ตามที่เกิดในยุคนี้อาจผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ครั้ง และลองหันมาดู เพื่อนสมาชิกในรัฐสภาหลายคนที่เกิดยุคปี 2530 ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่น มากับการปฏิวัติรัฐประหารปี 2549 การปฏิวัติครั้งแรกในชีวิตของตนยังจำความไม่ได้เกิดขึ้นในปี 2534 แต่ที่ตนจำความได้คือ 19 ปีนับตั้งแต่การปฏิวัติปี 2549 ที่ทำให้ชีวิตของตนผ่านการปฏิวัติเพิ่มอีก 2 ครั้ง นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งถูกปลดออกไปจากตำแหน่งถึง 5 คน พรรคการเมืองที่สำคัญถูกยุบไป 7 พรรค และการเลือกตั้งถูกล้มไปอีก 2 ครั้ง และในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา เราต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 คน
“คำถามคือไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นตน หรือคนรุ่นไหนๆ ปู่ย่าตายายครึ่งชีวิตที่ผ่านในยุคสงครามเย็น มีคนไทยรุ่นไหนหรือไม่ ที่พวกเขาเดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วนับตั้งแต่วันที่เกิด จนถึงวันที่มีสิทธิเลือกตั้ง ชีวิตของพวกเขาประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหารเลย ตนจึงขอให้ทุกคนลองถามตัวเองว่าวันแรกที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งชีวิตของท่านมีใครหรือไม่ ที่ไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหารเลย ไม่ใช่เพียงสมาชิกรัฐสภาเท่านั้น ต้องถามไปยังคนไทย 50 ล้านคน ทั่วประเทศ ที่เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยไม่เคยมีคนรุ่นไหนเลยที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร น่าตกใจ และที่ผ่านมาไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตมาในประเทศนี้ที่อยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบที่มีเสถียรภาพเสียที” นายณัฐพงษ์ กล่าว
นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวว่า อยากให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยการบอกให้เห็นว่าประเทศไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีสักยุคที่ดอกผลการพัฒนาเศรษฐกิจที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เกิดจากแรงถีบและแรงส่งของรัฐบาล และการเมืองภายในประเทศ ที่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากแรงฉุดและแรงราบจากอานิสงส์ที่เราได้รับจากการเมืองโลก และลมที่กำลังเปลี่ยนทิศการเมืองโลกขณะนี้ไม่ได้กำลังเข้าข้างประเทศไทยอีกต่อไป คำถามคือด้วยการเมืองแบบที่เป็นอยู่ที่ทำให้เราต้องมาแถลงนโยบายถึง 3 ครั้ง ในรอบ 2 ปี เนื่องจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง มากกว่ามาจับคนโกงลงโทษคนผิด ปัญหาการทุจริตในประเทศไม่เคยเบาบางลงแต่หนักขึ้นทุกวัน ด้วยการเมืองแบบนี้หรือที่จะทำให้การเมืองไทยเดินไปข้างหน้าได้
ตราบใดที่เรายังอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้มีใครในประเทศนี้ที่ต้องเจ็บปวดบ้าง เกษตรกรใช่หรือไม่ที่ผลผลิตราคาตกต่ำ ปุ๋ยแพงนี่ท่วมหัว และยังเป็นหนี้นอกระบบที่กู้ไปเลี้ยงครอบครัว ใช่คนไทยทุกคนหรือไม่ที่ต้องทนอยู่กับฝุ่น PM2.5 ต้องตายแบบผ่อนส่งทุกปี กฎหมายอากาศสะอาดยังล่าช้าผ่านสภาออกไปไม่ได้ ปัญหาน้ำท่วมไฟป่ายังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใด สมัยใดที่เข้ามาจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนในต่างจังหวัด 64 ปีมาแล้ว ที่เคยอยู่กับคำขวัญที่ว่าน้ำไหลไฟสว่างทางดีมีงานทำ เป็นคำขวัญที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 2504 แล้วตอนนี้ลองหันไปดูประชาชนหลายที่ น้ำไม่ไหลไฟไหม้สว่างทางไม่ไม่สะดวกจะไปโรงพยาบาลต้องตื่นตี 5 ไปต่อคิวที่โรงพยาบาลอำเภอ
ส่วนการศึกษาของเด็กไทยคพแนนสอบ PISA อยู่ลำดับที่ 5 ของอาเซียนเป็นรองสิงคโปร์ เวียดนามบรูไน มาเลเซีย เด็กบางคนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ระบบการศึกษาไทยไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้เขาแข่งขันกับโลกในอนาคตได้ หลายคนหลุดจากระบบการศึกษาทั้งที่เป็นอนาคตของประเทศ
ขณะที่เศรษฐกิจไทย เมื่อเปรียบเทียบกราฟ GDP ของโลกกับไทยและเพื่อนบ้านย้อนหลังไป 19 ปี คือ 2549 ประเทศไทยเดินช้ากว่าโลก และประเทศเพื่อนบ้านรวมไปถึงเวียดนาม เพราะ ในขณะที่โลกเติบโตเฉลี่ย 3%ต่อปี แม้จะเจอกับวิกฤตโควิดปี 2563 โลกยังฟื้นตัวได้เร็ว แต่ประเทศไทยไม่เคยฟื้นตัว ยืนอยู่บนเช่นเดียวกับโลกได้เลย อีกทั้งโครงสร้างเศรษฐกิจไทยปัจจุบันกำลังอ่อนแออุตสาหกรรมกำลังล้าหลังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนประเทศอื่น นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่เป็นวงจรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นว่าหากขาดปัจจัยเชิงบวกที่ไทยได้รับอนิสงค์จากการเมืองโลกภายนอกเราไม่เคยเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยลำแข้งของเราเอง
เช่นเดียวกับ ดัชนีการทุจริตลดลงต่ำสุดในรอบ 12 ปีในปี 2567 ทั้งที่เรามีองค์กรอิสระมากมายเป็นเพราะกลไกการตรวจสอบที่มีถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าการปกป้องเงินภาษีของประชาชน
“รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองแบบนี้หรือ ที่จะพาประเทศไทยพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ถึงเวลาแล้วที่เราจำเป็นต้องยกเครื่องยนต์ รถคันนี้ให้เราเดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง“ นายณัฐพงษ์ระบุ
นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ถ้าเราจะทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงกับประชาชน เพราะเราต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใสมีประสิทธิภาพและมีความชอบธรรมยึดโยงกับประชาชน บรรดาคณะรัฐมนตรีถูกแต่งตั้งมาจากผู้ที่ ความสามารถ ไม่ได้มาจากเพียงการจัดสรรโควตา แบ่งผลประโยชน์ทางการเมือง เราต้องการรัฐบาลที่มีความชอบธรรมสะท้อนเจตจำนงของประชาชน กล้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อกำหนดอนาคต วางยุทธศาสตร์ชาติที่ปรับเปลี่ยนได้ตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ติดล็อกอยู่กับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่คสช. เป็นคนเขียนมา เราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่ถูกจุดมากกว่าการสร้างตึกตัดถนนและขุดคลอง เราต้องการรัฐบาลที่เข้ามายกระดับรายได้ เพิ่มมูลค่าสินค้าไทย ข้าว มัน ยาง คอมพิวเตอร์ ปิโตเคมี เพื่อเพิ่มอุปทานสีเขียวให้เป็นสินค้าแห่งอนาคตที่โลกต้องการ เราต้องการระบบถ่วงดุลตรวจสอบที่เป็นอิสระยึดโยงกับประชาชนเป็นระบบที่ไม่ได้ผลัดกันเกาหลัง ไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง แต่เป็นระบบที่ใช้การตรวจสอบอำนาจที่ไม่ชอบ และปกป้องเงินภาษีของเราทุกคน
ประเทศไทยที่ติดเครื่องยนต์ใหม่แบบนี้จำเป็นจะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อทำให้รถยนต์คันนี้พุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง นี่คือเหตุผลที่พักประชาชนมุ่งมั่นที่จะเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญ และยอมโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีด้วยข้อตกลงตามที่ปรากฏใน MOA และการทำหน้าที่ของเรา 4 เดือนต่อจากนี้ทั้งตนและนายกฯ จะเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ตัดสินเราในวันหน้า ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือนจากนี้ ในสภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือฝ่ายค้านเสียงข้างมาก คือ
1.การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน4 เดือน เราต้องผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ให้เสร็จก่อนการยุบสภา โดยที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญต้อง ยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
2.เราสามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุดภายในช่วงเวลาไม่ถึง1เดือน สภา สามารถผ่านกฎหมายวาระ3 และวาระ1 ได้ 11 ชุด ครอบคลุมเศรษฐกิจการเมืองและคุณภาพชีวิต
3.ช่วง 4 เดือนนี้ รัฐบาลชุดใหม่ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทางเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึง ปัญหาที่ตกค้างมาจากรัฐบาลชุดก่อนได้หลายเรื่อง
4.ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านจะยังทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะพรรคประชาชนไม่ได้ใช้เสียงของพวกเราโหวตให้นายอนุทิน เพื่อให้รัฐบาลใหม่ เอาอำนาจไปใช้โดยไม่ชอบ หรือเพื่อสนับสนุนการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเหมาะสมมาเป็นรัฐมนตรี หรืออนุญาตให้รัฐรัฐบาลไปแทรกแซงการดำเนินคดีทั้งเรื่องเขากระโดง หรือฮั้ว ส.ว.หรือการตรวจสอบคดีทุจริตในรัฐบาลที่ผ่านมา ตนและพรรคประชาชนใช้เสียงของพวกเรา เพื่อมุ่งหวังให้ 4 เดือนต่อจากนี้ เป็นโอกาสที่สำคัญในการเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของประเทศ ประเทศ ที่เมื่อทุกท่านหลับตาลงนึกถึงหน้าลูกหลาน พวกเขาจะเป็นลูกหลานไทยรุ่นแรกที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้ง และตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่เกิดจนถึงมีสิทธิเลือกตั้งพวกเขาอยู่ในระบอบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยปราศจากการปฏิวัติรัฐประหาร ให้ประเทศพุ่งทะยานไปข้างหน้า ไม่ใช่การใช้เสียงของพวกเราไปปิดประตู และวงจรชีวิตของลูกหลานติดอยู่ในรูปติดอยู่ในระบบการเมืองแบบที่คนในรุ่นนี้กำลังเสื่อมศรัทธา
“สิ่งที่พวกเราอยากเห็นจากนายกรัฐมนตรี จะไม่ใช่แค่ต้องเคารพต่อข้อตกลงของพรรคประชาชน แต่อยากเห็นนายกฯเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมและเคารพต่อพี่น้องประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของประเทศ และทรงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้”.-316.-สำนักข่าวไทย