25 ก.ย. – กองทัพภาคที่ 1 แจ้งเลื่อนการประชุม RBC สมัยพิเศษ ไปเป็น ต.ค. 68 เหตุข้อมูลทั้งสองฝ่ายยังไม่สมบูรณ์ ขณะที่ทหาร ตำรวจ อส. เตรียมรับสถานการณ์ชายแดนสระแก้ว ย้ำกองกำลังไทยมีความพร้อมเผชิญทุกสถานการณ์
เพจเฟซบุ๊กกองทัพภาคที่ 1 โพสต์ข้อความว่า กองทัพภาคที่ 1 ขอเลื่อนการประชุม RBC สมัยพิเศษ ครั้งที่ 1 ด้าน ทภ.1 และ ภท.5 ในห้วง 25-27 กันยายน เป็นเดือนตุลาคม แต่ยังไม่ได้กำหนดวัน เนื่องจากรายละเอียดในการประชุมของทั้งสองฝ่ายยังไม่สมบูรณ์ ยังต้องมีการจัดทำให้ครบถ้วน จึงมีความเห็นร่วมกันทั้งสองฝ่ายให้เลื่อนการประชุมออกไป
กำลังพล 3 ฝ่าย พร้อมรับสถานการณ์ชายแดนสระแก้ว
ขณะที่กำลังพล 3 ฝ่าย คือ ทหาร ตำรวจ อส. เตรียมรับสถานการณ์ชายแดนสระแก้ว พร้อมติดตามการสร้างถนนเชื่อมชุมชน ย้ำกองกำลังไทยมีความพร้อมเผชิญทุกสถานการณ์ ขณะที่ผู้ว่าฯ ระบุหลังวันที่ 10 ตุลาคมนี้ จะใช้กฎหมายเข้มงวดจัดการการลักลอบเข้าเมือง
พลตรี เบญจพล เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา พร้อมด้วย นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว และพลตำรวจตรี ถาวร ดุลยวิทย์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว นำคณะลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามสถานการณ์และให้กำลังใจกำลังพล 3 ฝ่าย ทั้งทหาร ตำรวจ อส.
จากนั้นคณะฯ ได้เดินทางต่อไปยังบ้านหนองจาน เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานร่วมกัน ณ จุดตรวจ ส.40 และติดตามความก้าวหน้าการก่อสร้างถนนเพื่อความมั่นคง รวมถึงการสร้าง “บังเกอร์กันจอมพลัง” ที่เสริมระบบป้องกันภัย เพิ่มขีดความสามารถในการดูแลพื้นที่ชายแดนอย่างมั่นคงแข็งแรง
พลตรี เบญจพล และผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ยังได้ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ตำบลโนนหมากมุ่น อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เพื่อติดตามการเทลูกรังกว่า 800-900 ตัน ของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งจะนำมาสร้างถนนเชื่อมชุมชนในพื้นที่แนวชายแดน
พลตรี เบญจพล กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงคุมเชิงสถานการณ์ พร้อมย้ำว่ากองกำลังไทยมีแผนเผชิญเหตุรองรับทุกสถานการณ์ หากเกิดความรุนแรงก็พร้อมบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวเสริมว่า การผลักดันผู้ที่รุกล้ำต้องดำเนินการหลังวันที่ 10 ตุลาคม ตามกระบวนการ ไม่ใช่ใช้วิธีรุนแรง เพราะไทยอาจเสียเปรียบในเวทีโลก และขณะนี้ได้ยกระดับเรื่องขึ้นสู่รัฐบาลแล้ว ย้ำว่าฝ่ายไทยมีความพร้อมทั้งกำลังพลและกฎหมาย โดยเฉพาะการจัดการกับการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ส่วนการเปิด-ปิดด่าน เป็นอำนาจที่ต้องให้นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศหารือกัน
กัมพูชาผวา “อรินทราช-คอมมานโด-นเรศวร” ลงพื้นที่ปราสาทตาควาย-ภูมะเขือ
ขณะที่เมื่อวันอังคารที่ 23 กันยายนที่ผ่านมา เพจกองบัญชาการตำรวจนครบาล โพสต์ภาพ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด นำทีมหน่วยปฏิบัติการร่วมทั้งทหาร และหน่วยปฏิบัติการพิเศษจากตำรวจ หน่วยอรินทราช 26 จาก กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น) พร้อมด้วยหน่วยนเรศวร 261 จากกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และหน่วยคอมมานโด จากกองบัญชาการสอบสวนกลาง รวมถึงเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายสากล หรือ ศตก. และศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นหน่วยงานด้านข่าวกรองและความมั่นคงภายใต้ กองบัญชาการกองทัพไทย ลงพื้นที่หน้าแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่แนวหน้า บริเวณปราสาทตาควาย และเยี่ยมทหารบนภูมะเขือ รวมถึงดูการปฏิบัติงานและให้กำลังใจหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด และการก่อสร้างถนน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภาพการนำหน่วยอรินทราช 26, หน่วยนเรศวร 261 และหน่วยคอมมานโด ลงพื้นที่คือเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา
ปรากฏว่าหลังภาพเผยแพร่ออกไป ทางสื่อกัมพูชานำภาพเหล่านี้ไปตีข่าวทันที กล่าวหาไทยว่าเติมกำลังในพื้นที่ เท่ากับว่า ประเทศไทยได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความกระหายสงคราม ละเมิดดินแดนกัมพูชา
ด้านวาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโสสายทหาร ระบุว่า ทั้งหมดรวมตัวกันในนาม “หน่วยปฏิบัติการพิเศษร่วม ทหาร-ตำรวจ” (นปพ.ร่วม) อยู่ในพื้นที่มานานเป็นเดือนแล้ว มี “มิชชั่นลับ” ที่ทำทหารกัมพูชาขยาด ไม่กล้ามาวางระเบิดเพิ่ม หรือมาใกล้แนวลวดหนามเราอยู่แล้ว ไม่ใช่เพิ่งนำกำลังเข้าไปตอนนี้อย่างที่มีข่าว แต่อาจมีการสับเปลี่ยน หรือเพิ่มเติมกำลังตามวงรอบ และตามสถานการณ์ แต่ที่เข้าไปตามภาพคือ ระดับ ผบ.หน่วย ที่จะไปดูในพื้นที่ เพื่อวางแผน ปรับแผน รับมือการเพิ่มกำลัง
นายกฯ ลั่นเจรจาจะไม่เกิดขึ้น หากกัมพูชาเสริมกำลังพล-อาวุธหนัก
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงการลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าต้องไปอยู่แล้ว ตอนนี้ยังไม่คุยกับทางรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการ แต่จุดยืนเราชัดเจนคือ “การรักษาธิปไตย” ตอนนี้เรามีกองทัพตัดสินใจ และในพื้นที่มีประกาศกฎอัยการศึกอยู่แล้ว การตัดสินใจจึงทำได้โดยแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งคนใหม่ก็อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว การส่งไม้ต่อคงราบรื่น
ส่วนท่าทีของไทยในเรื่องของการทูตยังยืนเหมือนเดิม เน้นการเจรจา แต่กัมพูชาต้องทำตามข้อตกลง แต่หากกัมพูชายังเข้ามากดดันตามแนวชายแดน ไม่เคลื่อนย้ายกำลังพล และอาวุธหนัก เราก็ยังคุยอะไรไม่ได้ และยังปิดด่าน จนกว่าความเป็นภัยจากกัมพูชาจะหมดลงไป
สำหรับกรณีที่ประชาชนในพื้นที่สะท้อนมาว่าอยากให้จบภายใน 4 เดือน นายอนุทิน เผยว่า ตนก็จะพยายามอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด แต่รับรองว่าจะไม่มีการสูญเสียอธิปไตยหรือเสียเปรียบใดๆ ของประเทศไทยเป็นอันขาด ยืนยันเป็นนายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชนทุกคนอยู่แล้ว หลังจากนี้จะเร่งเรื่องเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด.-สำนักข่าวไทย