กรุงเทพฯ 8 พ.ย.-“สมชัย ศรีสุทธิยากร” ชี้ไม่จำเป็นต้องตั้งกรรมาธิการ่วมเพื่อพิจารณากฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เพราะไม่ใช่ประเด็นที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ เชื่อ 7 แนวทางใหม่ส่อให้การเลือกตั้งวุ่นในอนาคต หากมีปัญหา กรธ.-สนช.ต้องรับผิดชอบ
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า การร่างกฎหมายใหม่สักฉบับ ควรเพิ่มเติมในมุมที่ก้าวหน้า เป็นประโยชน์ ป้องกันทุจริต ให้ความสะดวกแก่ประชาชนเพื่อส่งเสริมให้คนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งให้มาก แต่มุมมองในการร่างกฎหมายของ กรธ.ชุดนี้กลับมีด้านที่ล้าหลัง ไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถป้องกันทุจริต และทำให้ประชาชนเกิดความยากลำบากในการใช้สิทธิ์
“ผมคิดว่า กรธ.อาจมีความปรารถนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แต่ความเชื่อมั่นในตนเอง คิดว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกเสมอ จึงทำให้เกิดข้อเสนอที่พิลึกพิลั่นมากมาย” นายสมชัย กล่าว
นายสมชัย ได้ยกตัวอย่างสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในร่างกฎหมายใหม่ ที่ทำให้การเลือกตั้งล้าหลัง ว่า ประการแรก ให้หมายเลขผู้สมัครของพรรคการเมืองในแต่ละเขตเป็นคนละเบอร์ แทนที่จะใช้หมายเลขเดียวกันทั้งประเทศให้ประชาชนจดจำได้ง่าย และส่งเสริมระบบพรรคให้เข้มแข็ง ประการที่ 2 กำหนดให้วิธีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งต้องใช้บัตร และกำหนดเงื่อนไขปิดกั้นการใช้วิธีการอื่นที่ทันสมัยและสะดวกต่อประชาชน ประการที่ 3 กำหนดวิธีการรับสมัครให้ใช้วิธีการสมัครด้วยตนเองและให้ย้ายสถานที่รับสมัครได้หากเกิดความวุ่นวาย ทั้ง ๆ ที่เคยมีประสบการณ์การถูกปิดล้อมจนทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
นายสมชัย กล่าวว่า ประการที่ 4 การเพิ่มจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเป็น 1,000 คน ต่อหนึ่งหน่วยเลือกตั้ง ทำให้จำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งประเทศลดลง ประชาชนต้องเดินทางไกลขึ้น และจำนวนผู้รอในแถวเพื่อขอใช้สิทธิ์จะยาวขึ้นกว่าเดิม ประการที่ 5 การลดจำนวนกรรมการประจำหน่วยให้เหลือไม่น้อยกว่า 5 คน จากเดิมไม่น้อยกว่า 9 คน การดูแลจัดการจะยากขึ้น การทุจริตซื้อกรรมการยกหน่วยง่ายขึ้น ประการที่ 6 การให้บัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ์หน้าหน่วยไม่ต้องมีหมายเลขประจำตัวประชาชน เพิ่มความยุ่งยากในการจัดพิมพ์ เนื่องจากบัญชีในหน่วยยังต้องมีหมายเลขประจำตัวประชาชน ทำให้ต้องพิมพ์สองรอบ และเปิดช่องให้ทุจริต ส่งผีเข้าบ้านเลขที่ปลอมได้โดยง่าย ประการที่ 7 การห้ามทำโพลที่มีผลต่อการตัดสินใจการใช้สิทธิ์ ซึ่งเป็นการปิดกั้นสื่อและสถาบันการศึกษาในการใช้หลักวิชาการเพื่อส่งเสริมการเลือกตั้ง
“หลักการที่หยิบยกขึ้นมาทั้ง 7 เรื่อง ถือเป็นความล้าหลังของกฎหมายฉบับนี้ เป็นเรื่องของการออกแบบวิธีการจัดการเลือกตั้งที่ลงรายละเอียดมากเกินไป และไม่ได้รับฟังความเห็นจากฝ่ายปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ประเด็นที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีการโต้แย้งโดยการตั้งกรรมาธิการร่วม และขอเสนอแนวคิดบันทึกไว้หากมีการจัดการเลือกตั้งเกิดขึ้นและเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เพื่อให้ประชาชนรับทราบไว้ว่าปัญหานั้นมาจากผู้ออกแบบ คือ กรธ. ผู้ผ่านกฎหมาย คือ สนช. ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติ คือ กกต.” นายสมชัย กล่าว-สำนักข่าวไทย