กรุงเทพฯ 21 ส.ค.- นักวิชาการ มองคดีคลิปเสียง “แพทองธาร” รอดหรือไม่รอด ผลลัพธ์ทางการเมืองไม่ได้แตกต่างกัน ชี้นายกฯ ไปต่อยาก ส่วนคดี “ทักษิณ” กระทบการเมืองไทย-เพื่อไทย ขณะที่รัฐบาลหากไปต่อต้องเร่งสร้างผลงานควิกวินให้เป็นรูปธรรม
นายสติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวไทย ถึงมุมมองอนาคตการเมืองไทย จากคดีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า คดีของนายกรัฐมนตรีไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร คือ รอดหรือไม่รอดเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ทางการเมืองไม่ได้แตกต่างกัน คือนายกรัฐมนตรีไปต่อยากสำหรับอนาคตทางการเมือง เพราะต่อให้ศาลวินิจฉัยเป็นคุณไม่ถูกออกจากตำแหน่ง แต่ในทางการเมืองไปต่อยาก ก็คงต้องคิดหาทางลงระหว่างมือ จะลาออกเองหลังจากนั้นหรือจะยุบสภา และไม่ลงเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอีก
ส่วนถ้าเป็นโทษคือกฎหมายให้ออกจากตำแหน่งนายกฯ สุดท้ายก็ต้องวางมือทางการเมือง หรือคิดหาทางออกจากการเมืองเอง
เมื่อถามว่าการลาออกของ น.ส.แพทองธาร จะเป็นวิธีที่ปลอดภัย สำหรับตัวนายกและพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายสติธร กล่าวว่า ใช่ เพราะต้องยอมรับว่า รอบนี้หนักหนาสาหัส ทำลายความชอบธรรมของตัวนายกฯเอง และส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อพรรคเพื่อไทย อย่างกรณีของพรรคเพื่อไทยยังพอมองมองเห็นว่าอาจจะมีโอกาสฟื้นคืนความเชื่อมั่นได้ ถ้าได้โอกาสในการทำงานต่อ แต่ตัวของนายกรัฐมนตรีจะฟื้นยากดังนั้นต้องเสียสละตนเองเพื่อให้พรรคไปต่อได้
เมื่อถามว่าการไม่ลาออกของนายกรัฐมนตรีในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่วินิจฉัยคดี แปลว่าว่าตัวของนายกยังเลือกที่จะสู้ต่อ ถ้าผลออกมาเป็นบวกจะเป็นอย่างไร นายสติธร กล่าวย้ำว่า ถ้าผลออกมาเป็นบวกก็ถือว่าสมศักดิ์ศรีว่า น.ส.แพทองธาร ได้สู้แล้ว ตามกระบวนการและผลของการต่อสู้คดีก็เป็นบวก เพียงแต่ความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไรก็ต้องติดตัว และต่อให้เป็นบวกก็ไม่ได้ บวกแบบบริสุทธิ์ 100% ถึงขั้นลบล้างสิ่งที่คนรู้สึกไม่พอใจ กับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรข้อเท็จจริงอื่นที่คั่งค้างกันอยู่ อาจถูกหยิบไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องอีก เพราะศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเฉพาะเรื่องคุณสมบัติอาจจะบอกว่าไม่เข้าเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์สุจริต หรือผิดวินัยร้ายแรง แต่ไม่ได้แปลว่าการบริหารงานถูกต้องแล้ว ซึ่งอาจจะมีเรื่องการบริหารงานที่ผิดพลาด การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งคนอาจมองว่าเรื่องแบบนี้เป็นความผิดเรื่องการบริหารการทำหน้าที่ไปร้องที่ ป.ป.ช. อาจจะไม่ได้ตัดข้อเท็จจริงเหล่านั้นออกไปว่าพ้นศาลรัฐธรรมนูญแล้วจะพ้นทุกคดีด้วย
เมื่อถามว่าถ้าหากผลเป็นบวกหลังจากนี้ จะต้องมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือประกาศยุบสภาเลือกตั้ง นายสติธร กล่าวว่า ถ้าผลบวกจะมี 2 ทาง นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่ต่อไป เมื่อการเมืองสงบนิ่ง วางใจได้ ค่อยหาจังหวะ ในการลาออกหรือยุบสภา แต่ปัญหาจะต่างกันถ้าลาออกจะต้องเข้าสู่เงื่อนไขการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ตามเงื่อนไข ซึ่งพรรคเพื่อไทยยังมีนายชัยเกษม นิติศิริ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากเป็นเช่นนั้นก็อาจจะเข้ามาทำงานในระยะสั้นและยุบสภาอยู่ดี จึงไม่ต่างกับทางเลือกที่สองคือนายกเป็นคนประกาศยุบสภาเอง หรือจะผลัดไม้ไปให้แคนดิเดตคนถัดไปของพรรคเพื่อไทย แต่ก็อาจจะไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้นเพราะไม่มีอะไรการันตีว่าการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะได้แคนดิเดตที่มาจากพรรคเพื่อไทย เพราะอยู่ที่การยอมรับของพรรคร่วมรัฐบาลด้วย
เมื่อถามว่าขณะนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยถือว่าเพลี่ยงพล้ำใช่หรือไม่ นายสติธร กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเพลี่ยงพล้ำมาก และมองเห็นถึงปรากฏการณ์ว่าจะไปต่อก็ยาก จะคืนอำนาจให้ประชาชนก็ลำบาก ซึ่งในระยะสั้นรัฐบาลทำงานยากอยู่ยาก แต่ถ้ายุบสภาไปเลือกตั้งก็มีความกังวลว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาพรรคเพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคที่มีขนาดเล็กกว่าเดิมอย่างน่าตกใจ จึงต้องประเมินและขอประคองไปก่อนสัก 3-6 เดือน เพราะวันนี้อำนาจยังเต็มมืออยู่ในแง่การบริหารกระทรวงสำคัญ ถ้ามีโอกาสขับเคลื่อนนโยบายบางอย่างเพื่อฟื้นคะแนนเสียงขึ้นได้บ้างก็น่าลอง ก่อนยุบสภาและไปเลือกตั้งซึ่งต้องมีผลงานติดไม้ติดมือไปด้วย นอกจากการพยายามวางเครือข่ายเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง เผื่อเอาไปหาเสียงสานต่อ ให้คนรู้สึกเชื่อถือ เพราะวันนี้หากไม่มีอะไรติดไม้ติดมือไปคนจะรู้สึกว่าที่ผ่านมารัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีอำนาจ 2 ปี แต่ทำอะไรไม่ได้เลย
ส่วนคดีความของนายทักษิณมองอย่างไร นายสติธร กล่าวว่า นายทักษิณมี 2 คดี ซึ่งหนึ่งเรื่องอาจมีโอกาสเป็นคุณส่วนอีกเรื่องหนึ่งต้องลุ้นเหนื่อยกว่า แต่ก็ส่งผลอย่างมาก กับรัฐบาลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ต้องยอมรับว่าถ้าพรรคเพื่อไทยจะฟื้นคืนศรัทธาต้องอาศัยนายทักษิณ ในแง่ วิสัยทัศน์การนำเสนอนโยบายหรือการสื่อสาร สร้างความหวังให้กับประชาชน ก็อาจทำให้รู้สึกว่าถ้านายทักษิณพูดแบบนี้รัฐบาลเอาบางอย่างไปทำแล้วเห็นผลก็จะมีน้ำหนัก แต่ถ้าทักษิณไม่สามารถแสดงบทบาทอะไรได้ ก็อาจประเมินได้ว่าพรรคเพื่อไทยอาจจะกลายเป็นพรรคขนาดกลางหรือขนาดเล็กได้เลยในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ต้องเข้าใจว่า การเกิดขึ้นมาของพรรคไทยรักไทยและต่อเนื่องมาจนถึงพรรคเพื่อไทย ความสำคัญของนายทักษิณมีผลอย่างมากต่อการดำรงอยู่ ทั้งจะทำให้พรรครุ่งเรืองหรือร่วงโรย ถ้านายทักษิณหมดบทบาทลงไปหรือแสดงบทบาทได้ไม่เต็มที่ความเป็นพรรคจะอยู่ยากมาก
นายสติธร ยังกล่าวถึงดีลกลับประเทศของนายทักษิณเป็นไปตามแผนหรือไม่ นั้น การดีลก็เป็นไปได้ยากว่าเป็นไปตามที่เราคิดเสมอไป การเมืองยุคหลังมีปัจจัยหลายอย่างที่เราคาดการณ์ยาก เข้ามาแทรกได้เสมอ เช่น สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนไปถึงกรณีคลิปเสียงสนทนา ถือเป็นปัจจัยนอกเหนือการคาดการณ์ แล้วขึ้นอยู่กับว่าการแก้ไขสถานการณ์แต่ละครั้งผลลัพธ์จะออกมาเป็นบวกหรือลบ
ขณะที่การชุมนุมนอกสภาคนที่ไม่พอใจส่วนหนึ่งก็ได้ออกมาแสดงออก และเชื่อว่าคงไม่ลุกลามมันไปมากกว่านี้แต่อยู่ในระดับที่ควบคุมกันได้ โอกาสแทรกซ้อนต้องเดินไปสู่จุดนอกรัฐธรรมนูญคงยาก
เมื่อถามถึงคดีความทางการเมืองอื่นๆ จะส่งผลอย่างไรกับการเมืองไทย นายสติธร กล่าวว่า ตรงนั้นจะส่งผลกับผู้เล่นคนอื่น เช่น สว. อาจจะส่งผลกับพรรคภูมิใจไทย ที่ผ่านมาอาจมีกรณีนี้แต่ถูกหยิบยกขึ้นมา เร่งดำเนินการแต่เป็นเรื่องที่รู้กันมานานแล้วและมีความพยายามประคับประคองกันมาส่วนมันจะร้อนแรงหรือเบาลงอยู่ที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง ยังพอประเมินกันได้
เมื่อถามว่าหากประเมินความวุ่นวายทางการเมืองน่าจะจบในช่วงใด นายสติธร กล่าวว่า หากจะประเมินว่าจบการเมืองสงบราบเรียบ อยู่แบบมีเสถียรภาพคงไม่มีวันนั้น เพราะการเมืองจะต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเรื่อยๆ แต่จะอยู่ในระดับที่มีรัฐบาลซึ่งพอจะกุมสภาพได้ ทำงานบริหารได้ระดับหนึ่ง ตนมองว่าวันนี้มาถึงจุดที่ต้องคืนอำนาจให้ประชาชนและให้ประชาชนเลือกกันใหม่และดูผลลัพธ์กันอีกทีว่าพรรคการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา จะรวมเสียงกันอย่างไรจัดตั้งรัฐบาล แต่ถ้าการเมืองปัจจุบันจะประคับประคองกันไปอย่างไรก็ไม่จบ
ด้านนายปุรวิชญ์ วัฒนสุข อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองอนาคตการเมืองไทยหลังจากนี้ ว่า ไม่ใช่เฉพาะการชี้ชะตาพรรคเพื่อไทยหรือของตระกูลชินวัตร แต่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในแง่การเมืองไทย เพราะต้องไม่ลืมว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย มีบทบาทอย่างต่อเนื่องสำหรับการเมืองไทยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นคดี ม.112 คดีชั้น 14 หรือคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เชื่อว่า 3 สัปดาห์นี้ จะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการเมืองไทย ซึ่งผลของคำพิพากษาและคำวินิจฉัยที่จะออกมาจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง ในระยะสั้นจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะออกมาอย่างไร และส่งผลกับการเปลี่ยนแปลงระยะยาว
เมื่อถามว่ากรณีของ นางสาวแพทองธาร หากผลออกมาเป็นบวก ประเมินสถานการณ์อย่างไร นายปุรวิชญ์ กล่าวว่าหากนางสาวแพทองธาร ได้อยู่ต่อก็เป็นโจทย์ท้าทาย คือ 1. เรื่องในสภาชุดปัจจุบันจะเห็นได้ว่าไปต่อหรือยาก ตั้งแต่เปิดประชุมปิดประชุมถี่มาก นับองค์ประชุมบ่อยมาก สภาพการแบบนี้ตนมองว่าทำไม่ได้ นอกจากออกกฏหมายงบประมาณผ่าน เมื่อโจทย์ที่หนึ่งไปต่อได้ยาก โจทย์ที่สองคือปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งโจทย์นี้ยากกว่า และอย่างไรก็ยืดเยื้อ อีกทั้งยังเป็นโจทย์ที่แก้ลำบาก ทำให้โยนไปยังโจทย์ที่สามว่า ประชาชนที่ติดตามข่าวสารรู้สึกว่าทำไมจัดการปัญหาไทย-กัมพูชาไม่ได้ แล้วจะเห็นว่าสถานการณ์ปัจจุบันกองทัพมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางว่าจะเคลื่อนต่อไปอย่างไร เมื่อเรื่องไทยกัมพูชาไม่คลี่คลาย การเมืองในสภาล้มลุกคุกคลาน ผลที่จะชี้ต่อมาคือความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนต่อรัฐบาล ซึ่งสะท้อนผ่านผลสำรวจจากนิด้าโพล รัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ในขาลงอย่างชัดเจน ทั้งตัวเลขและความรู้สึกของประชาชน
ส่วนรัฐบาลต้องเร่งสร้างผลงานใช่หรือไม่หากได้อยู่ต่อ นายปุรวิชญ์ กล่าวว่า เราอาจจะได้เห็นภาพนโยบายควิกวินที่ชัดเจนขึ้น แต่คำถามคือทำแล้วจะเวิร์คหรือไม่ เพราะสภาพการในปัจจุบันต้องนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ในเวลาอีกไม่นาน แต่คำถามคือ ถ้ามาทำนโยบายในช่วงนี้จะตอบสนองโหวตเตอร์ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะวิกฤตที่พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลกำลังเผชิญคือวิกฤติศรัทธาและวิกฤติความเชื่อมั่น เป็นวิกฤติที่สั่งสมมาหลายเรื่อง และถูกทำให้เข้มข้นและเป็นจุดอ่อนสำคัญในช่วงปัญหาไทย-กัมพูชา ถ้ามีในใบออกมาจะฟื้นคืนความเชื่อมั่นความไว้วางใจจากประชาชนได้มากขนาดไหน
นายปุรวิชญ์ กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีแนวโน้มเรื่องของการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เนื่องจากสภาก็ทำงานไม่ได้ เมื่อออกกฏหมายไม่ได้ถ้าเป็นรัฐบาลจะทำอะไรได้ ในท้ายที่สุดได้เห็นสัญญาณที่บ่งชี้เรื่องกฎหมายงบ การโยกย้ายข้าราชการ การโยนนโยบายบางอย่างที่ทำให้เห็นผลเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นอีกไม่นานทำให้มีการเตรียมความพร้อม
เมื่อถามว่าหากผลออกมาเป็นลบ นายปุรวิชญ์ กล่าวว่า ก็ต้องเดินไปตามรัฐธรรมนูญ คือการเลือกนายกรัฐมนตรีจากบัญชีแคนดิเดต พรรคเพื่อไทยอาจประเมินสถานการณ์แล้วว่านางสาวแพทองธาร อาจพ้นตำแหน่งและจะชูนายชัยเกษม นิติศิริ ปัญหาคือพรรคร่วมรัฐบาลจะโหวตให้ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายถ้าหากมองพรรคร่วมรัฐบาล ก็อาจประเมินว่า ตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึงนางสาวแพทองธาร จึงอาจเป็นข้อต่อรองสำคัญว่าจะโหวตหรือไม่ อาจจะมีการดึงเวลา แต่ถ้าหากเป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ต้องมาดูว่าเสียงสนับสนุนจะถึงหรือไม่
“เช่นเดียวกันคือหากนางสาวแพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง และมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็อาจจะอยู่ได้ไม่นาน รัฐบาลใหม่ถ้าจะมีขึ้นมาก็จะกลายเป็นรัฐบาลเฉพาะหน้าเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองเพื่อเปิดทางไปสู่การยุบสภาเลือกตั้ง” นายปุรวิชญ์ ระบุ
ส่วนคดีของนายทักษิณ มองอย่างไร นายปุรวิชญ์ มองว่า กระทบกับการเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะนายทักษิณคือหัวใจของพรรคเพื่อไทย หาก 3 คดี ออกมาไม่เป็นคุณกับนางสาวแพทองธาร และนายทักษิณ ก็จะกระทบกับพรรคเพื่อไทย และเชื่อ สส. ของพรรคเพื่อไทยหลายคนคงจะต้องมองลู่ทางจะไปอย่างไรต่อ เพราะอัตลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยผูกโยงกับนายทักษิณ เมื่อหัวใจอย่างนายทักษิณถูกแตะต้องหรือถูกทำลาย องคาพยพจะไปต่อได้อย่างไร แต่คงไม่ถึงจุดจบของพรรคเพื่อไทย แต่ถ้าผลออกมาเป็นคุณก็มีแนวโน้มที่พรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ลดขนาดลง
เมื่อถามว่ามองรูปแบบของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไร นายปุรวิชญ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นปัจจัยจะไม่เหมือนกับการเลือกตั้งในปี 2566 โดยเฉพาะเรื่องกระแสชาตินิยม ทหาร สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ยังไงก็จะยังอยู่ไปจนถึงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า โดยการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 เป็นกระแสเอาลงไม่เอาลุง แต่ตอนนี้การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นจะเป็นเรื่องการปลุกกระแสรักชาติ หากพรรคไหนรณรงค์เรื่องกระแสรักชาติก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการโกยคะแนนได้ และเป็นส่วนหนึ่งของมุมกลับสำหรับพรรคการเมืองที่จะทำนโยบายในสายก้าวหน้าหรือเสรีนิยม ถ้าวันนี้พูดเรื่องปฏิรูปกองทัพอาจจะโดนทัวร์ลง การเลือกตั้งนอกจากกระแสความนิยมของพรรคการเมือง นโยบายอาจจะเป็นรองด้วยซ้ำแต่จุดที่จะกำหนดทิศทางยิ่งถ้าเลือกตั้งเร็วกระแสเรื่องชาตินิยมจะต้องมีการปลุกปั่นกันอย่างแน่นอน
ส่วนสถานการณ์การเมืองจะคลี่คลายเมื่อใดนั้น นายปุรวิชญ์ มองว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนจากเบอร์ 10 เป็นเบอร์ 0 ได้ทันที ต่อให้การเลือกตั้งเร็วหรือช้าก็ตามยังคงมีอารมณ์ความรู้สึกเดือดร้อนเรื่องความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา และหากประเมิน ณ วันนี้การเลือกตั้งครั้งหน้าอารมณ์ความรู้สึกจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อพฤติกรรมการออกเสียงของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง .-316 (1) -สำนักข่าวไทย