ทำเนียบ 6 ส.ค.-“ภูมิธรรม” เปิดทำเนียบหารือนักลงทุน กว่า 30 บริษัทชั้นนำทั่วโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย ยืนยันพร้อมปรับปรุงกลไก กฎระเบียบให้สอดคล้องกับกติกาโลก พัฒนากลไกพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการหารือระดับสูงนักลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในประเทศไทย โดยมีผู้บริหารเป็น 30 บริษัทชั้นนำระดับโลก เข้าร่วมจาก 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง
สำหรับการหารือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นของภาคเอกชนต่อศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย พร้อมยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย พร้อมกันนี้ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนในไทย เอื้อต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุน หรือ ขยายการลงทุนในไทย
โดยนายภูมิธรรม กล่าวต้อนรับนักลงทุนว่า ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้มาหารือร่วมกับผู้บริหารระดับสูง จากกลุ่มบริษัทชั้นนำของโลก ที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในประเทศไทย การรับมือกับความไม่แน่นอนจากอัตราภาษีสหรัฐอเมริกา ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของโลก อีกทั้งสหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีใหม่ ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บที่ร้อยละ 19 รัฐบาลไทยตระหนักถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ และกติกาการค้าโลก จึงมุ่งมั่นที่จะอาศัยโอกาสนี้ในการปรับปรุงกลไกต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจ ว่า ธุรกิจที่ดำเนินการในประเทศสอดคล้องกับกติกาโลก และลดความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รัฐบาลมีความจริงใจในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทางด้านกฎระเบียบ ที่เอื้อต่อการอำนวยการประกอบธุรกิจ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การเตรียมพร้อมด้านพลังงานสะอาด และเดินหน้าเจรจาเปิดตลาดการค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ไทยยังสร้างความสามารถในการเข้าถึงตลาดโลกให้กับภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีความตกลงทางการค้า 17 ฉบับ กับ 24 ประเทศ และอยู่ระหว่างเร่งการเจรจาการค้าเพิ่มเติมกับอีกหลายประเทศ รวมถึงกลุ่มอียู เกาหลีใต้ และแคนาดา เพื่อช่วยเพิ่มความได้เปรียบของผู้ประกอบการในการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก
นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึง การเดินหน้ากลไกพลังงานสะอาด รองรับแนวทาง ESG โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามแนวทาง ESG โดยได้เปิดให้บริการกลไก Utility Green Tariff (UGT1) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดพร้อมเอกสารรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน มีบริษัทสนใจยื่นขอใช้บริการแล้วกว่า 40 ราย และมีแผนเปิดตัว UGT2 ซึ่งสามารถระบุแหล่งพลังงานที่มาได้อย่างชัดเจน และมาจากแหล่งพลังงานใหม่
นอกจากนี้ รัฐบาลยังอยู่ระหว่างเตรียมเปิดกลไก Direct Power Purchase Agreement (Direct PPA) ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทำสัญญาซื้อพลังงานสะอาดโดยตรงจากผู้ผลิตผ่านสายส่งของรัฐ โดยในระยะแรกจะให้บริการกับกลุ่มธุรกิจ Data Center จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ และหากประสบผลสำเร็จ จะขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไปโดยกลไกพลังงานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ ซึ่งกระทรวงพลังงานอยู่ระหว่างการปรับแผน เพื่อเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดจาก 26% เป็น 51% ภายในปี 2580
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ที่สำคัญรัฐบาลจะเร่งพัฒนาบุคลากรไทยให้มีทักษะตรงตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และกระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินโครงการที่เน้นความร่วมมือกับภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น โครงการ Sandbox เพื่อผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ที่มหาวิทยาลัย 15 แห่งร่วมมือกับภาคเอกชน 8 ราย เปิดหลักสูตรใหม่ 5 หลักสูตร พร้อมจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติอีก 3 แห่ง โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน ภายใน 5 ปี นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัลควบคู่กันไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การหารือระดับสูงในครั้งนี้ มีภาคเอกชนชั้นนำระดับโลกเข้าร่วม ทั้งในด้านเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ อาทิ บริษัท Sony Samsung Unimicron BYD Huyndai Google TikTok และ Nestlé.-316.-สำนักข่าวไทย