รัฐสภา 26 มิ.ย.- “จรัญ” ชี้จุดตาย กฎหมายคอมเพล็กซ์ฯ แฝง “กาสิโน” ขัดยุทธศาสตร์ชาติ-เศรษฐกิจพอเพียง เตือน เมกะโปรเจกต์ทุนต่างชาติ สุ่มเสี่ยง “ทุจริตเชิงนโยบาย”
วันที่ 26 มิ.ย.68 จากกรณีที่รัฐบาลเร่งผลักดัน หรือที่เรียกติดปากว่า “บ่อนกาสิโนถูกกฎหมาย” ก็เจอคลื่นใต้น้ำเข้าเต็มๆ เมื่อนายจรัญ ภักดีธนากุล กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร ระบุถึงโครงการสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโน ว่าโปรเจกต์ยักษ์นี้สุ่มเสี่ยง “ทุจริตเชิงนโยบาย” และอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องรัฐบาลพยายามให้ข้อมูลประชาชนว่าโครงการนี้จะนำเม็ดเงินมหาศาลเข้าประเทศ และจะนำไปพัฒนาประเทศ ซึ่งอาจทำให้ประชาชน เคลิ้มไปตามคำบอกเล่า แต่เมื่อเจาะลึกแล้ว นี่คือ เมกะโปรเจกต์ ที่ต้องลงทุนนับแสนนับล้านล้านบาท แต่รัฐบาลกลับไม่มีเงินลงทุนเองและต้องดึง ทุนต่างชาติเข้ามา
ประเด็นสำคัญที่นายจรัญชี้คือ การรวมกันของ เมกะโปรเจกต์ และนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และทุนต่างชาติ อาจทำให้โครงการนี้ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกฎหมายไทยอย่างเต็มที่และยัง เสริมขั้นตอนของการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งหมายถึงการที่รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อปูทางให้การดำเนินการเป็นไปตามกฎหมายนั้นๆ ทำให้ยากที่จะกล่าวหาว่ารัฐบาลทุจริตคอร์รัปชัน เพราะเป็นการทำตามกฎหมายที่ตนเองผลักดันขึ้นมานี่คือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดความระแวงสงสัยว่า มีอะไรซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังกาสิโนจากทุนต่างชาติหรือไม่
นายจรัญย้ำว่า ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะโต้แย้งและเรียกร้องให้ตรวจสอบร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทุนต่างชาติ และความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะรัฐธรรมนูญไทยกำหนดให้เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่จะต้องช่วยกันป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ
นายจรัญยังตั้งข้อสังเกตถึงประเด็น “แนวนโยบายแห่งรัฐ” ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่กำหนดให้การจัดทำ “ยุทธศาสตร์ชาติ” ต้องเป็นไปตามหลัก “ธรรมาภิบาล” และใช้หลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่ร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนและบ่อนการพนันนี้ กลับถูกตั้งคำถามว่า ไม่เป็นการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนและ ไม่เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่สำคัญคือ ไม่ได้รับความเห็นพ้องจากสังคมไทย โดยมีเสียงคัดค้านจากทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง ทั้งองค์กรศาสนาหลักและสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งต่างมองว่าเป็นการนำพาประเทศไปสู่ “ทางเสื่อม” ที่จะทำให้วิถีชีวิตและหลักคิดของคนในสังคมเปลี่ยนไป จากการเห็นผิดเป็นชอบ เห็นอบายมุขเป็นความเจริญ
นายจรัญมั่นใจว่า หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดัน พ.ร.บ. ฉบับนี้ให้ผ่านสภาฯ ด้วยเสียงข้างมาก จะต้องมีผู้ยื่นเรื่องเข้าสู่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” เพื่อวินิจฉัยว่ากฎหมายฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆ หรือไม่ ซึ่งกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีบรรทัดฐานมาก่อน ต้องมีการฟังความคิดเห็น ข้อมูล และหลักฐานต่างๆ มาประกอบ
ทั้งนี้นายจรัญทิ้งท้ายว่า อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดของร่างกฎหมายฉบับนี้คือ “รัฐธรรมนูญของไทย” นั่นเอง -สำนักข่าวไทย