รัฐสภา 11 มิ.ย.- “ศิริกัญญา” เผย วงถกงบฯ 69 เชิญ 4 หน่วยงานแจง ยอมรับ จีดีพีปีหน้าตก 1.6% กังวลจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า คาดปี 70 สัดส่วนหนี้สาธารณะทะลุเพดาน 70% ยังตั้งเป้าปรับลด 5 หมื่นล้าน มั่นใจคุณสมบัติ “รักชนก” นั่ง รองประธานงบฯ
นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 กล่าวว่า การประชุมกรรมาธิการงบประมาณในวันนี้ มีการเชิญ 4 หน่วยงานหลัก ที่จัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 มารายงานภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เศรษฐกิจในปี 2568 และ 2569 จะตกต่ำลง และเป็นที่น่ากังวลโดยเฉพาะในปี 2568 นี้ แม้จะมีการรายงานการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจหรือ GDP ไม่เท่ากัน แต่ GDP จะอยู่ระหว่างร้อยละ 1-2 เท่านั้น
ขณะที่ปี 2569 ก็จะตกต่ำลงไปอีก GDP อยู่ที่ร้อยละ 1.6 ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวล และส่งผลต่องบประมาณ ประเด็นแรก คือการประมาณการรายได้ที่จะเข้าภาครัฐ ซึ่งจากการคำนวณเบื้องต้น หาก GDp ตกต่ำ ในปี 2569 รายได้ของรัฐจะหายไปถึงราว 60,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2 ของการประมาณการรายได้ จึงเป็นที่น่ากังวลว่าหากไม่สามารถหารายได้เข้ารัฐ ก็จะหมายความว่า รายจ่ายในปี 2569 นี้ ก็จะใช้จ่ายได้อย่างไม่เต็มที่ ตามที่มีการตั้งงบประมาณปี 2569 ไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท เพราะหากจะมีการกู้เงินเพิ่ม ก็จะกู้ได้ไม่มาก เนื่องจากรัฐบาลได้มีการตั้งงบขาดดุลเกือบที่จะเต็มเพดานไว้อยู่แล้ว หรือจะกู้เพิ่มได้เพียงราว 17,000 ล้านบาท
ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการคลัง ว่าจะมีทางออกอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต ที่เก็บได้ต่ำกว่าเป้ามาโดยตลอด ซึ่งกระทรวงการคลังก็เสนอ 2 แนวทางในการใช้งบปี 68 และ 69 คือ 1.จะมีการจัดเก็บภาษีน้ำมัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีการจัดเก็บเพิ่มไป 1 บาท แต่ยังไม่ได้กระทบกับราคาน้ำมันที่ประชาชนจะต้องควักเงินจ่าย แต่หากจัดเก็บภาษีน้ำมันเพิ่มขึ้น 1 บาท รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 3,000 ล้านบาทต่อเดือน 2.จะมีการรื้อโครงสร้างของภาษีรถยนต์ในอนาคต ด้วยการปฏิรูปภาษีทั้งระบบ
แต่ทั้งนี้ ส่วนตัวยังมีข้อกังวล เพราะยังไม่ได้มีการลงรายละเอียดที่ชัดเจนว่าจะมีเม็ดเงินจากส่วนไหน ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าเมื่อมีปัญหาเหล่านี้ กระทรวงการคลังก็จะใช้วิธีการไปเอาเงินปันผลจากรัฐวิสาหกิจ เพื่อนำมาเพิ่มรายได้ภาครัฐ ซึ่งบางหน่วยงานอาจไม่ได้มีผลประกอบการที่ดี นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับสัดส่วนดอกเบี้ยที่ไม่ได้มีการตั้งไว้ ตามที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งทางสำนักงบประมาณก็ได้ให้ความเห็นว่า ต้องรอลุ้นว่าดอกเบี้ยนโยบายจะมีการลดหรือไม่ จนส่งผลให้ดอกเบี้ยพันธบัตรของรัฐบาลจะมีค่าใช้จ่ายลดลงหรือไม่อย่างไร ดังนั้นจึงเป็นข้อกังวลในอนาคตว่า ถ้าเงินไม่เพียงพออาจจะใช้งบกลางหรือเงินคงคลังมาชำระดอกเบี้ยเหมือนปี 2567 หรือไม่
นอกจากนี้ ในที่ประชุมยังได้หารือกับกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ซึ่งจากข้อมูล เมื่อ GDP ตกต่ำ ก็จะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP จะไปถึงร้อยละ 70 เร็วมากขึ้น โดยในปลายปีงบประมาณ 2569 ช่วงเดือนกันยายน 2569 หนี้สาธารณะต่อ GDP ก็จะขึ้นไปถึงร้อยละ 69 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้ เนื่องจาก GDP โตได้ไม่มาก เท่ากับว่าในปี 2570 จำเป็นต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปอย่างแน่นอน ซึ่งทางกระทรวงการคลังก็ไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องนี้ ดังนั้น เท่ากับว่าประเทศไทยจะต้องมีมติจากนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อที่จะขยายเพดานหนี้สาธารณะในปี 2570 นี้ ซึ่งส่วนตัวไม่แน่ใจว่ารัฐบาลไหนจะได้ใช้หนี้สาธารณะร้อยละ 70 ดังกล่าว หากมีการยุบสภาเร็วกว่านี้ ก็อาจจะไม่ใช่รัฐบาลนี้ที่จะรับภาระ
นางสาวศิริกัญญา กล่าวถึงสถานการณ์ภาวะเงินฝืด เนื่องจากตลาดเงียบเหงากำลังซื้อประชาชนอ่อนตัวลง ทางแบงค์ชาติ ชี้แจงว่าสถานการณ์ยังไม่เข้าสู่ช่วงเงินฝืด ซึ่งเงินเฟ้อติดลบเป็นหย่อมๆ จึงไม่เข้าเกณฑ์ภาวะเงินฝืด แต่ยอมรับว่าจะต้องมีการจับตาเรื่องกำลังซื้อที่อ่อนแอลง เพราะกำลังซื้อลงตลาดเงียบเหงา รายได้ของประชาชนลดลง
นางสาวศิริกัญญา กล่าวถึงกรณีที่กรรมาธิการมีมติไม่ให้ไลฟ์สด การประชุมกรรมาธิการ ว่า เข้าใจสถานการณ์ เพราะมีกรรมาธิการบางคนชี้แจงว่าตารางถ่ายทอดของทีวีรัฐสภาถูกล็อกไว้แล้ว จึงเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาคือถ่ายทอดสดผ่านยูทูป
ส่วนการพิจารณาของกรรมาธิการนั้นยอมรับว่าล่าช้าจากกำหนดการไปเพียง 1 สัปดาห์ แต่เชื่อว่ากติกามีความยืดหยุ่นในการพิจารณาได้ เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพ ไม่ได้เป็นกังวลในกรอบและระยะเวลา 105 วัน ที่จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด นับแต่สภาผู้แทนราษฎร รับร่างมา
สำหรับการตั้งเป้าการปรับลดงบประมาณ 50,000 ล้านบาท นางสาวศิริกัญญา ระบุว่า สาเหตุการตั้งเป้าเนื่องจากรายได้เก็บไม่เข้าเป้า จึงเห็นว่ารายจ่ายจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ จึงควรตัดสินใจตั้งเป้าการตัดตั้งแต่วันนี้ หากไม่ได้ก็จะไปพิจารณาในวาระที่2 ต่อในที่ประชุมสภา หรือหากไม่ได้จริงๆก็จะทำรายงานเสนอต่อประชาชนว่าฝ่ายค้านพยายามปรับลดงบงบประมาณที่ไม่จำเป็น หรืองบประมาณในโครงการที่สุ่มเสี่ยงทุจริตแล้ว แต่ยังแพ้กรรมการเสียงข้างมาก
นางสาวศิริกัญญา ยังชี้แจงว่าครั้งนี้พรรคประชาชน ส่งนางสาวรัชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชนนั่งรองประธานกรรมาธิการงบประมาณคนที่ 18 ด้วย เห็นว่าปีที่แล้วกรรมาธิการสัดส่วนฝ่ายค้านมีโอกาสนั่งทำหน้าที่รองประธานและได้ขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ประธานคือ วุฒิพงษ์ นามบุตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการเสนอครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านจะสามารถเดินเกมอะไรบางอย่างได้ ในเวลาที่กรรมาธิการซีกรัฐบาลไม่ได้มาทำงานตามปกติ และยืนยันคุณสมบัติความเหมาะสมของนางสาวรัชนกในการปฎิบัติหน้าที่รองประธานกรรมาธิการงบประมาณฯ.-315 -สำนักข่าวไทย