รัฐสภา 29 พ.ค.-ผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศ ยืนยัน กต.จัดสรรงบมีทิศทางพร้อมรับมือโลก-ปกป้องผลประโยชน์ชาติ พร้อมย้ำ รัฐบาล-กต.ไม่นิ่งนอนใจสารหนูในแม่น้ำกก เร่งประสานเมียนมาแก้ไขโดยเร็ว หวังเมียนมาสงบสุข ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค
นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล เพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกที่ท้าทาย ทั้งประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์ ทิศทางของเราอยู่บนแนวคิดที่ว่าโลกเปลี่ยน แต่การพิทักษ์และส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยต้องเหมือนเดิม เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบสนองประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นสำคัญ ไม่เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่เลือกข้าง เป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสมดุล พร้อมสนับสนุนสันติภาพ และเป็นตัวเชื่อม bridge builder
ในส่วนปัญหาเร่งด่วนของภูมิภาคนี้ในปัจจุบันที่กระทบต่อไทยอย่างมาก คือสถานการณ์ความขัดแย้งในเมียนมานั้น จุดยืนไทย คือ
1.เราไม่เลือกข้างใดข้างหนึ่ง และไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงของทุกกลุ่มในเมียนมา โดยสิ่งที่ไทยสามารถทำได้ คือ พยายามหาทางช่วยสนับสนุนให้ฝ่ายต่าง ๆ หันหน้ามาพูดคุยกันตามกระบวนการ Myanmar-led, Myanmar-owned คือ ฝ่ายต่างๆ ในเมียนมาจะต้องหาทางออกสำหรับอนาคตของประเทศกันเองเพื่อให้เกิดความสงบสุข การปรองดอง และเศรษฐกิจประเทศสามารถเดินหน้าได้อีกครั้ง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ของไทย
2.ในขณะเดียวกัน ปัญหาความขัดแย้งที่ยืดเยื้อในเมียนมาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภัยเร่งด่วนที่ไทยต้องจัดการ คือ ธุรกิจผิดกฎหมายที่ขยายตัวอย่างมาก รวมถึงการประกอบธุรกิจที่สร้างมลพิษ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในพื้นที่ชายแดน ดังนั้น ไทยจึงต้องการหาทางให้ฝ่ายต่าง ๆ ในเมียนมาหันมาพูดคุยกันและหาทางออกร่วมกันโดยเร็ว ซึ่งแนวทางดำเนินการ กระทรวงต่างประเทศให้ความสำคัญกับการดำเนินการทางการทูตเชิงรุกได้แก่
ในระดับทวิภาคี กระทรวงฯ มีงบประมาณที่จัดสรรไว้สำหรับการจัดประชุม เยือน และต้อนรับการเยือนทวิภาคี รวมถึงงบประมาณสำหรับแต่ละสถานเอกอัครราชทูต ซึ่งไทยคงช่องทางการสื่อสารกับทางการเมียนมาในระดับต่าง ๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทยและร่วมมือแก้ไขปัญหาร่วมกันต่าง ๆ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม
ในระดับพหุภาคีผ่านทางอาเซียน กระทรวงได้จัดสรรงบประมาณสำหรับการเข้าร่วม และการจัดประชุมพหุภาคี โดยไทยสนับสนุนบทบาทของอาเซียนและการดำเนินการของประธานอาเซียนอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ ควบคู่กับการปรึกษาหารืออย่างสม่ำเสมอกับประเทศต่างๆ นอกอาเซียนและหน่วยงาน UN
นายรัศม์ ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาไทยได้ผลักดันการหารือระหว่างเมียนมากับประเทศเพื่อนบ้านกันมาแล้ว 3 รอบ คือ ครั้งแรกระหว่างไทย-เมียนมา-อินเดีย ที่นิวเดลี ครั้งที่สอง ระหว่างไทย-เมียนมา-จีน-ลาว ที่เชียงใหม่ และครั้งที่ 3 ระหว่างเมียนมา-ไทย-จีน-ลาว-อินเดีย-บังกลาเทศ ที่กรุงเทพฯ โดยทุกประเทศที่เข้าร่วมชื่นชมบทบาทของไทย เพราะรัฐบาลเชื่อว่าการสร้างแพลตฟอร์มให้เมียนมาได้มีการริเริ่มพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ถึงแนวทางแก้ไขปัญหากับทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดความร่วมมือพัฒนา จะนำไปสู่กระบวนสันติภาพได้ในอนาคต
ขณะเดียวกัน เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อปัญหาที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษอย่างสารหนูจากเหมืองในเมียนมา ในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง โดยติดต่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมาเพื่อขอให้ฝ่ายเมียนมาดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็ว นอกจากนี้ จะมีการประสานงานกับฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ทั้งในระดับประเทศและพื้นที่โดยเร่งด่วนด้วย
ส่วนของการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมา ไทยมีบทบาทมาโดยตลอด ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและผ่านองค์การระหว่างประเทศ และยังได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ของไทย ในการแสวงหาแนวทางขยายการดำเนินการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุขและการศึกษาบริเวณชายแดน
สำหรับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในเมียนมาจากผลกระทบของแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อเร็ว ๆ นี้นั้น รัฐบาลได้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยได้สนับสนุนภารกิจการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เมียนมา โดยได้ส่งทีมเฉพาะกิจ ประกอบด้วย ทีมปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะภัยพิบัติ (Thailand EMT) ของกระทรวงสาธารณสุขและทีมช่วยเหลือของกองบัญชาการกองทัพไทย ไปปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่เมืองมัณฑะเลย์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดแห่งหนึ่ง โดยดำเนินการต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2568 จนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม 2568
“จะเห็นได้ว่าการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงต่างประเทศ ได้กำหนดทิศทางชัดเจน เป็นรูปธรรม ยึดตามแนวนโยบายและวิสัยทัศน์ของผู้นำรัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ ใช้ประโยชน์จากกลไก และบุคลากรตามที่จัดสรรงบประมาณ เพื่อเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นที่ตั้ง” นายรัศม์ ระบุ.-316.-สำนักข่าวไทย