มาเลเซีย 27 พ.ค.-นายกฯ มอบ “จุลพันธ์” เข้าฟังข้อเสนอ AIPA (ไอป้า) ขณะผู้นำอาเซียน ชมเป็นข้อเสนอที่ให้ความร่วมมือทุกมิติ เพื่อความยั่งยืนของอาเซียน ทั้งเศรษฐกิจ-สันติภาพ-ไร้สงครามล้างเผ่าพันธ์ ด้าน “วันนอร์” เผย “มาเลเซีย” ยินดีร่วมมือไทยดับไฟชายแดนใต้
ที่ประเทศมาเลเซีย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าร่วมหารือระหว่างผู้นำอาเซียน และคณะผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน หรือ ASEAN-AIPA Leader’s Interface Meeting ครั้งที่ 14 ในห้วงการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 46
โดยฝ่ายบริหาร มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้แทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐบาลไทยเข้าร่วมหารือ
ด้าน ตัน ศรี ดาโต๊ะ โจฮารี บิน อับดุล ประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย ในฐานะประธาน AIPA (ไอป้า) เป็นผู้แทนคณะผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน กล่าวถ้อยแถลงในนาม AIPA เพื่อเป็นข้อเสนอไปยังผู้นำอาเซียน ซึ่งสมาชิก AIPA ยินดีเห็นชอบกับวิสัยทัศน์อาเซียน 2045 : อนาคตร่วมกันของเรา ซึ่งจะเป็นปฏิญญาที่ผู้นำอาเซียนทุกประเทศจะลงนาม โดย AIPA ให้คำมั่นว่าจะทำงานร่วมกับรัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของประชาคมอาเซียน 2045 โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งจำเป็นต้องทำให้เสียงของสตรีและเยาวชนดังขึ้น
ขณะที่ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้กล่าวว่า AIPA มีความสำคัญมากกับอาเซียน เพราะ AIPA คือตัวแทนประชาชน เป็นที่รวมของสมาชิกรัฐสภา เพราะฉะนั้นความเห็นของ AIPA ก็คือความเห็นของรัฐสภาอาเซียน ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง จึงขอให้คำมั่นว่าทุกคำแนะนำ และความคิดเห็นของ AIPA อาเซียน จะให้ความสำคัญ และนำไปร่วมพิจารณา เพราะ AIPA และอาเซียนเป็นพันธมิตรที่สำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และเป้าหมายต่างๆของอาเซียนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่ได้ความร่วมมือจาก AIPA ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน นายวันมูหะมัดนอร์ ได้กล่าวถึงผลสำเร็จการหารือร่วมกันของผู้นำอาเซียนและคณะผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ว่า นายกฯ อันวาร์ ชมเชยว่าข้อเสนอของ AIPA เป็นข้อเสนอที่ดี สอดคล้องกับการประชุมผู้นำอาเซียน จุดยืนของเราในการเสนอวันนี้คือการร่วมมือทุกมิติเพื่อความยั่งยืนของอาเซียน และเรามีการเสนอแก้ไขการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกในทุกมิติ เช่นเรื่องเศรษฐกิจ ที่มีปัญหาทั่วโลก รวมถึงอาเซียนด้วย ว่าเราต้องร่วมมือกันแก้ไขอย่างไร รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกที่มาเร็วมาก เพราะฉะนั้นอาเซียนต้องร่วมมือ ในการสร้างความยั่งยืน สร้างพลังงาน บริสุทธิ์ สร้างพื้นที่สีเขียวมากขึ้น และรัฐสภาอาเซียนยังนำเสนอเรื่องสันติภาพ และสันติสุขของโลก เพราะตอนนี้มีสงครามของรัสเซีย-ยูเครน สงครามปาเลสไตน์-อิสราเอล และสถานการณ์ในเมียนมา ซึ่งรัฐสภาอาเซียนและผู้นำอาเซียนเห็นพ้องต้องกันว่า อาเซียนต้องให้ความสนใจเพื่อให้เกิดสันติสุข ไม่ให้มีสงครามล้างเผ่าพันธุ์ หรือกระทำการที่ผิดกฎบัตรของสหประชาชาติ
ส่วนการที่อาเซียน และ AIPA จะร่วมมือกันอย่างไรให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์อาเซียน 2045 นั้น นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า AIPA จะนำวิสัยทัศน์อาเซียน 2045 เข้าบรรจุในการประชุมสมัชชาใหญ่รัฐสภาอาเซียน ที่จะมีการประชุมในช่วงเดือนกันยายนนี้ เพื่อที่จะได้เดินไปพร้อมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ของไทย ในฐานะที่มีความสนิทสนมกับประธานสภาผู้แทนราษฎรมาเลเซีย ได้ขอความร่วมมืออย่างไร นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ได้คุยกัน ซึ่งทางนายกฯ มาเลเซียก็ให้ความสนใจ และยินดีดำเนินการเพื่อให้เกิดความสงบสุข เพราะมาเลเซียก็ถือว่า ความสงบสุขของไทยและประเทศอื่นในอาเซียน เป็นส่วนหนึ่ง ของมาเลเซีย ในฐานะที่เป็นประธานอาเซียน และในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านก็ต้องช่วยกัน เพื่อให้เรื่องนี้เกิดสันติภาพและเกิดสันติสุข
จากนั้นในช่วงเย็น ประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยคณะผู้แทนสมัชชารัฐสภาอาเซียน ได้เข้าร่วมในพิธีลงนามปริญญากัวลาลัมเปอร์ ว่าด้วยอาเซียน 2045 : อนาคตร่วมกันของเรา
นอกจากนี้ นายวันมูหะมัดนอร์ ยังได้ร่วมหารือทวิภาคีกับนายหวู ฮง แถ็ง รองประธานสภาแห่งชาติสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ซึ่งทั้งเวียดนามและไทย เห็นว่า เราควรพัฒนาทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างทั้ง 2 ประเทศ และตนยังได้เสนอว่า เมื่อเรามีพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ อย่างยางพารา ที่เราครองอันดับต้นๆ ของโลก โดยประเทศไทย ผลิตเป็นอันดับ 1 ของโลก อินโดนีเซีย อันดับ 2 และเวียดนาม เป็นอันดับ 3 ซึ่ง 3 ประเทศนี้ ถือเป็นผู้ผลิตยางรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่มีผู้ใช้ยางกว่า 100 ประเทศ ถ้าเราสามารถสร้างองค์กรเหมือนกับ OPEC ได้ เอาผู้ผลิตมารวมกันเพื่อพิจารณารักษาเสถียรภาพยางพารา ไม่ให้ชาวสวนยางและผู้กรีดยางเดือดร้อน เพราะเดี๋ยวนี้ราคายางตกไปมาก ซึ่งทางเวียดนามก็เห็นด้วยและจะนำไปคุยกับรัฐบาล และกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการค้าและพาณิชย์ ของเวียดนาม และนอกจากนี้ เมื่อ 2 ปีก่อน ระหว่างการประชุมอาเซียนที่อินโดนีเซีย ตนได้นำเรื่องนี้คุยกับประธานาธิบดีและรัฐมนตรีของอินโดนีเซีย ซึ่งเขาก็เห็นด้วย จึงคิดว่าจะผลักดันให้รัฐบาลไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นเจ้าภาพในเรื่องนี้ เพื่อหารือร่วมกันใน 3 ประเทศ ในการดึงราคายางพาราให้สูงขึ้นเหมือนในอดีต ซึ่งเป็นแนวโน้มที่จะเป็นไปได้.-312.-สำนักข่าวไทย