“พร้อมพงษ์” ลุยยื่นเอาผิด “บิ๊กป้อม” แฉลาประชุมกว่า 80%

รัฐสภา 25 ก.ย.- “พร้อมพงษ์” เดินหน้าร้อง ป.ป.ช. สอบสงสัย จนท.จ่อช่วย “พล.อ.ประวิตร” เซ็นชื่อ-สแกนบัตรมาประชุมแทน แฉลาประชุมกว่า 80% แต่รัฐเสียงบเดือนละกว่า 2.5 แสน จี้ควรลาออก


นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันเดินหน้าตรวจสอบการปฏิบัติ หน้าที่ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนมาที่ตนจำนวนมาก จึงจะนำเรื่องไปยื่น ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในวันศุกร์ที่ 27 กันยายนนี้ เพราะมีการขาด-ลา-มาประชุม ของพลเอกประวิตร ที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่น่าจะกระทำผิดกฎหมาย

นายพร้อมพงษ์กล่าวว่า จากตรวจสอบเรื่องการเข้าประชุมของพลเอกประวิตรไปยังสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าพลเอกประวิตรน่าจะขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และ ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร แล้วยังส่อจะคัดข้อบังคับของพรรคพลังประชารัฐ เพราะจากการตรวจสอบการขาด-ลาประชุมของพลเอกประวิตร ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ถึง 19 กันยายน 2567ปรากฏว่า มีการประชุม 95 ครั้ง แต่พลเอกประวิตร ซึ่งเป็นตัวแทนปวงชนชาวไทย ขาดประชุมใช้ลักษณะน่าจะเป็นการลา 84 ครั้ง และเมื่อดูตั้งแต่ 3 กรกฎาคมปี 67 ถึง 19 กรกฎาคมปี 67 มีการประชุม 27 ครั้ง พลเอกประวิทย์มาประชุมเป็นศูนย์หรือ13 ธันวาคม 2566 ถึง 3 เมษายน 2567 มีการประชุม 33 ครั้งมาประชุม 4 ครั้งลาประชุม 20 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่อ้างว่าติดภารกิจ โดยการลาน่าจะเป็นเพียงฉากบังหน้า ทั้งที่ส.ส.มีหน้าที่ประชุมสภาสัปดาห์ละ 2 วันคือวันพุธและวันพฤหัสบดีที่เหลืออีก 5 วันไปลงพื้นที่ทำกิจกรรมต่างๆ เท่ากับเป็นการขาดแล้วใช้การลาประชุมบังหน้า ถือเป็นเรื่องที่คณะกรรมาธิการกิจการสภา และ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบ


นายพร้อมพงษ์ กล่าวด้วยว่าหนึ่งคนใช้เงินภาษีของประชาชน เป็นเงินเดือนและผู้เชี่ยวชาญรวมแล้ว 242,560 บาทไม่รวมค่าโดยสารค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่ารักษาพยาบาล จึงอยากถามว่าพลเอกประวิตรทำงานคุ้มกับภาษีที่ประชาชนต้องจ่ายหรือไม่ วันนี้ กรรมการจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎรต้องตอบคำถาม และการขาดประชุมน่าจะใช้การลาเป็นฉากบังหน้า จากการตรวจสอบวันที่ 8 สิงหาคมเปิดบ้านป่ารอยต่อให้คนเข้าอวยพรวันเกิดแล้วไม่มาประชุมสภา ทั้งที่การจัดงานวันเกิดสามารถจัดตอนกลางคืนได้หรือไม่หรือจัดอีกวันนึงได้หรือไม่ หรือในวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ก็ลาประชุมโดยการไปประชุมกรรมการบริหารพรรค นอกจากนี้ยังลาประชุมไปฝังลูกนิมิตที่จังหวัดบุรีรัมย์ และยังลาไปเชียร์วอลเลย์บอลด้วย และตนยังสงสัยว่าในการลาน่าจะมีเจ้าหน้าที่กรอกแบบฟอร์ม และใช้กระบวนการที่ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะได้มีการ ตรวจสอบเชิงลึกเรียบร้อยแล้ว มีข้อมูลว่ามีคนนำสมุดลงชื่อไปให้พลเอกประวิตร เซ็นที่รถ ซึ่งในการลงชื่อนอกจากเซ็นชื่อแล้วต้องเอาบัตรไปแตะเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนจึงสงสัยว่าน่าจะมีการเอาบัตรไปแตะแทนกันหรือไม่ ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ และเรื่องนี้เทียบเคียงกับกรณีที่กดบัตรแทนกัน โดยมี อดีตส.สถูกดำเนินคดีและติดคุกไปแล้ว ทั้งนี้จากการสอบถาม เพื่อนส.สด้วยกันยังไม่มีใครเห็นพลเอกประวิตรมา แตะบัตร แม้ แต่ นาย วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานมิตรรัฐบาลก็ยังไม่เคยเห็นดังนั้นการกระทำดังกล่าวน่าจะขัดทั้งรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมายเพราะผู้ช่วยเลขาหรือคนติดตามไปยืนยันตัวตนแทนไม่ได้ต้องไปยืนยันด้วยตัวเอง ดังนั้นในวันศุกร์นี้จะไปยื่นเรื่องต่อป.ป.ช.ว่าขัดกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดินหรือไม่

“นี่คือสิ่งที่ผมมองว่าประเทศชาติและประชาชนเสียผลประโยชน์ จากการทำหน้าที่ของตัวแทนปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะกฎกติกาขององค์กรสภาผู้แทนราษฎร พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณลาอย่างนี้ตั้งแต่ 3 กค.66 ถึง 19 กันยายน 67 . 95 ครั้ง ลา 84 ครั้ง ไม่มาประชุมคิดเป็น 88% อยากถามว่าสภาผู้แทนราษฎรลาประชุมได้ 100% ได้ด้วยหรือ วันนี้คณะกรรมการจริยธรรม สภาผู้แทนราษฎร ตอนนี้ยังไม่มีผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถ้ามีขอให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้เพราะวันนี้ถ้าพลเอกประวิตรทำได้ การลาที่เลขาสภาบอกว่ามีใบอนุญาตถูกต้อง ถ้าทำได้โดยและใช้ลักษณะฉ้อฉลแบบนี้และขาดประชุม ซึ่งมีกฎเกณฑ์มีระเบียบปฏิบัติ ถ้ามีแบบนี้เกินครึ่งแบบพลเอกประวิตร สภาก็ทำอะไรไม่ได้ ออกกฎหมายไม่ได้ ผลเสียหายก็ย่อมเกิดขึ้นกับประชาชนและประเทศชาติผมจึงต้องมาตรวจสอบ” นายพร้อมพงษ์กล่าว

นายพร้อมพงษ์ยืนยันว่า ตนมาทำหน้าที่ในฐานะประชาชนผู้เสียภาษีเมื่อมีผู้ร้องมาก็มีการตรวจสอบและขอยืนยันว่าไม่มีอคติ และไม่มีเรื่องโกรธแค้นกับพลเอกประวิตร และยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใส่ร้ายป้ายสี แต่เป็นข้อเท็จจริง โดยเอกสารส่วนหนึ่งที่มีผู้ร้องร้องมายังตน หลายคนและสอดคล้องกับเอกสาร ที่ตนได้รับจากฝ่ายสภา โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมอบให้ วันขาดวันลาวันมาประชุมของพลเอกประวิตรที่เป็นเอกสารราชการ จึงขอยืนยันว่า เราตรวจสอบทำตามหน้าที่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 46 วงเล็บ 2 ที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐมาถามตนว่ามีสิทธิ์อะไรขอยืนยันว่าเป็น สิทธิ์ของการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ พร้อมกันนี้ยังเรียกร้องให้พลเอกประวิตรลาออกจากการเป็นส.ส.แล้วเลื่อนให้คนรุ่นใหม่ ที่อยู่ในลำดับถัดไปเข้ามาทำงานแทน .-312 -สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

แจ้งข้อหาเพิ่ม “ทนายตั้ม” คดี 39 ล้านบาท รวม 7 ข้อหา

แจ้งข้อหาเพิ่ม “ทนายตั้ม” คดี 39 ล้านบาท รวม 7 ข้อหา จ่อแจ้งข้อหา “นุ-แซน” เพิ่มเติม และเชื่อว่ามีบุคคลอื่นที่ต้องถูกดำเนินคดีอีก ส่วน “ฟิล์ม รัฐภูมิ” ยังไม่ประสานเข้าพบหลังออกหมายเรียก

วิสามัญมือยิงประธานสภา อบต.โพนจาน ยิงสู้ จนท.

วิสามัญมือยิงประธานสภา อบต.โพนจาน จ.นครพนม หลังหนีข้ามมา จ.ขอนแก่น เจ้าหน้าที่ปิดล้อมเกลี้ยกล่อมให้วางอาวุธ แต่ไม่สำเร็จ คนร้ายยิงต่อสู้

ขู่ยื่นเอาผิด รมว.ดีอี ปล่อยโฆษณาหลอกหลวง ปชช.

รัฐสภา 3 ธ.ค. – กมธ.ไอซีที สว. ขู่ ยื่น ม.157 เอาผิด รมว.ดีอี ฉุนเกียร์ว่าง ปล่อยโฆษณาหลอกหลวง ประชาชน – ปล่อย “หมอบุญ” หนีลอยนวล จี้รัฐยกปราบหลอกลวงออนไลน์เป็นวาระแห่งชาติ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม คนที่หก วุฒิสภา แถลงผลการประชุมกมธ. เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ซึ่งตรวจสอบกรณีการโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ลงทุนในสินทรัพย์ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงอาทิ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีของนพ.บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลธนบุรี ที่พบกรณีฉ้อโกงและฟอกเงิน เป็นมูลค่าสูงกว่า 7,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดีในคดีดังกล่าวถูกแจ้งความดำเนินคดีที่ สน.ห้วยขวาง แล้วปี 2566 แต่ไม่มีการดำเนินการใดๆ จนกระทั่งนพ.บุญเดินทางออกไปนอกประเทศและไม่มีการอายัดทรัพย์ ทั้งนี้ในการหลอกหลวงผ่านโฆษณาชวนเชื่อนั้น ทำผ่านโบรกเกอร์ที่หลอกลงทุน ทั้งนี้เชื่อว่าจะเป็นนักลงทุนที่เคยลงทุนที่คุ้นเคยกับเครือโรงพยาบาลธนบุรี “จากการชี้แจงกรณี นพ.บุญของหน่วยงานที่ชี้แจง พบเป็นการโยนกลองกันไปมา ไม่มีหน่วยงานใดที่รับผิดชอบจริงจัง […]

ข่าวแนะนำ

พุทธศาสนิกชนสักการะ “พระเขี้ยวแก้ว” เนืองแน่น

พุทธศาสนิกชนจากทั่วสารทิศ รอต่อคิวเข้าสักการะ พระบรมสารีริกธาตุ “พระเขี้ยวแก้ว” ที่ท้องสนามหลวง กันอย่างเนืองเเน่น

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

นายกฯ นำ ครม.ทำบุญตักบาตรเนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค.67

นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 189 รูป ที่ท้องสนามหลวง ก่อนวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 เนื่องในวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2567