กรุงเทพฯ 11 ส.ค. – ชุมชน กทม. ไม่ขวางรัฐจัดระเบียบริมราง สร้างรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน ขอพัฒนาโดยไม่ทิ้งคนจนไว้ข้างหลัง
จากกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง จำนวน 35 จังหวัด 300 ชุมชน 27,084 ครัวเรือน โดยดำเนินการในระยะเวลา 5 ปี (ปี 2566-2570) ทั้ง 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคตะวันตก
ขณะนี้ทาง พอช. ลงพื้นที่ทำความเข้าใจชาวบ้านและสำรวจข้อมูลกลุ่มเป้าหมายรายครัวเรือนผู้ได้รับผลกระทบ ร่วมกับเครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน เพื่อนำส่งรายชื่อชุมชนที่มีความประสงค์ขอเช่าที่ดินกับทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ไปแล้วจำนวน 13,190 ครัวเรือน และคาดว่าภายในปี 2567 นี้จะสามารถสรุปข้อมูลรายชื่อผู้ได้รับผลกระทบจากระบบรางครบตามเป้าหมายรวม 27,084 ครัวเรือน
นายเชาว์ เกิดอารีย์ ผู้นำชุมชนบุญร่มไทร แขวงพญาไท เขตราชเทวี กทม. หนึ่งในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เปิดเผยว่า ชาวบ้านไม่ได้ขัดขวางการพัฒนาของรัฐ แต่เราต้องการให้เล็งเห็นว่าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต้องทำควบคู่ไปกับยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้าน โดยเปิดให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมกับโครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชน ขณะนี้ชุมชนบุญร่มไทรมีชาวบ้านอาศัยกว่า 100 ครัวเรือน ทุกคนได้รับกระทบจากการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เพื่อให้เกิดการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม จึงต้องขอคืนพื้นที่จากประชาชนที่รุกล้ำสร้างบ้านอาศัยอยู่กันมานานกว่า 60 ปีแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้เป็นคนต่างจังหวัดเข้ามาหาโอกาสทำงานในเมืองที่มีความหลากหลายด้านอาชีพด้วยกัน เช่น ค้าขาย รับจ้างทั่วไป รับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้า ขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
“ชาวบ้านไม่ได้ต้องการเมืองอัจฉริยะ วันนี้เราต้องการเมืองที่เป็นธรรม เพื่อให้คนทุกชนชั้นอยู่ร่วมกันได้ เพราะพวกเรามักถูกตราหน้าเป็นผู้บุกรุก แต่ตนอยากให้มองพวกเราว่าเป็น “คนแบกเมือง” ที่มีอาชีพหาเช้ากินค่ำ ตั้งแต่ขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง รับจ้างทั่วไป แม่ค้าขายกาแฟ น้ำดื่ม ขายลูกชิ้นปิ้ง ข้าวแกง อาชีพเราตอบโจทย์คนทำงานในเมืองใหญ่ ช่วยลดค่าครองชีพให้เขาซื้อของดีราคาถูกได้” นายเชาว์ กล่าว
ทั้งนี้ ชาวบ้านได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อกระทรวงคมนาคม รฟท. ไปแล้วว่าเราอยากอยู่อย่างถูกกฎหมาย ขอแบ่งพื้นที่ 10 % จาก รฟท.ย่านบึงมักกะสัน ที่มีอยู่เกือบ 500 ไร่ มาให้ชาวบ้านเช่าอยู่ในราคาไม่แพง และสร้างที่อยู่อาศัย รวมถึงการให้ รฟท. แถลงชี้แจงศาล เพื่อหยุดหมายศาลไม่ให้ชาวบ้านบางรายตกเป็นผู้บุกรุก โดยข้อเรียกร้องดังกล่าวได้รับการตอบสนองจากรัฐเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เรายังจำเป็นต้องติดตามข้อเรียกร้องเป็นระยะจนกว่าชาวบ้านทุกคนมีบ้านใหม่ มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน
ด้านนางจิราภรณ์ พุ่มปัญญา ประธานชุมชนริมทางรถไฟหลังโรงพยาบาลเดชา ย่านพญาไท กล่าวว่า ชุมชนริมทางรถไฟหลังโรงพยาบาลเดชา มีชาวบ้านอยู่อาศัยกว่า 87 ครัวเรือน เป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ของโครงการดังกล่าว 57 ครัวเรือน แต่ภายหลังมีสมาชิกขอลาออกบางส่วน เพราะมีคนไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ ชุมชนต้องการรอค่ารื้อถอนจาก รฟท. ก่อน ส่วนคนที่เห็นด้วยเพราะดูแล้วโครงการฯ มีประโชน์ต่อชาวบ้านจริงๆ ช่วยให้ชาวบ้านริมทางรถไฟมีที่อยู่อาศัยที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีที่ทำมาหากิน ค้าขายเลี้ยงครอบครัว วันนี้ชาวบ้านได้เห็นแบบบ้านแล้ว ได้เช่าที่ดินจาก รฟท. แล้ว ซึ่งถูกจัดสรรให้อยู่ในย่านบึงมักกะสัน คาดว่าในปี 2567 นี้จะได้สร้างบ้านใหม่บนที่ดินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเราไม่มี พอช. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คอยเป็นหน่วยงานกลางประสานความช่วยเหลือ เราคงไม่มีบ้านที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้
“ถ้าพวกเราได้ไปอยู่ในที่ดินเช่าริมบึงมักกะสันที่แห่งใหม่ เราอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการจัดตั้งเป็นชุมชนเพราะการได้จัดตั้งเป็นชุมชนนั้นจะทำให้ชาวบ้านได้สิทธิความช่วยเหลือจากหน่วยงานมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กทม. หรือจากรัฐบาล” นางจิราภรณ์ ระบุ.-316-สำนักข่าวไทย