“รักชนก” เสนอ 4 กระบวนท่า สู่การปฏิรูปงบประมาณ

รัฐสภา 21 มิ.ย.- “รักชนก” เสนอ 4 กระบวนท่า สู่การปฏิรูปงบประมาณ เปลี่ยนอำนาจการจัดสรรงบประมาณ จาก “สำนักงบฯ เป็นกระทรวง – ทำงบประมาณแบบเน้นผลลัพธ์” ชี้ ต่อให้ปฏิรูปงบฯ แต่ประเทศยังเหมือนเดิม อาจเกิดจากปัญหาของนโยบาย และวิธีการของรัฐบาล


น.ส.รักชนก ศรีนอก สส. พรรคก้าวไกล อภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ว่า ปัจจุบันกระบวนการงบประมาณจะเริ่มด้วยการทำยุทธศาสตร์การจัดสรรในช่วงสิ้นปี และตอนต้นปีนายกรัฐมนตรีก็จะมาแถลงยุทธศาสตร์การจัดสรร ที่จะบอกว่าปีนี้จะจัดทำนโยบายอะไรบ้างแก่ข้าราชการ ซึ่งตนได้อ่านยุทธศาสตร์การจัดสรรและฟังนายกฯ แถลงตั้งแต่ต้นจนจบ ก็เกือบเคลิ้มเพราะนโยบายของรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลมีหลายนโยบายที่ตรงกัน แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึก ”เอ๊ะ“ ผลลัพธ์ที่นายกฯ หรือรัฐบาลนี้ต้องการนั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะอยากเป็นศูนย์กลาง ทั้ง 8 ด้าน และอยากเพิ่มรายได้เกษตรกรสามเท่าใน 4 ปี รวมทั้งอยากให้จีดีพีโตเฉลี่ย 5%

แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ท่านอาจจะลืมไปในการแถลงทุกๆ ต้นปี คือ ไม่มีการตั้งกรอบเป้าหมายความสำเร็จว่าในแต่ละนโยบายจะอยากให้สำเร็จเท่าไหร่ และไม่ได้มาพร้อมกับกรอบงบประมาณ ซึ่งกรอบและเป้าหมายของงบประมาณมีความสำคัญมาก ถ้าไม่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่ต้นปี ก็จะทำให้ไม่ทราบว่าทำไปแล้วเท่าไหร่ หรือการแก้ไขปัญหาที่ดิน หากไม่กำหนดเป้าหมายว่าจะทำในปีนี้ได้กี่แปลง ในกรอบงบประมาณเท่าไหร่ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราจะมีงบประมาณที่พิสูจน์สิทธิ์ให้ประชาชนปีละ 3,000 แปลงเท่านั้นทุกปี


น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นฝ่ายข้าราชการก็ต้องกลับมาทำคำของบประมาณ ที่กระบวนการของบ้านเราแบบ Bottom Up แต่ไม่ใช่ประเทศเราจริงๆ เพราะหัวใจหลักที่สำคัญคือต้องฟังเสียงของพี่น้องประชาชนในภูมิภาคต่างๆ หรือท้องถิ่นว่า อยากเห็นโครงการอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่และนำโครงการเหล่านั้นมาทำเพื่อเป็นคำของบประมาณ แต่กระบวนการทุกวันนี้ การที่ข้าราชการฟังนายกฯ แถลงนโยบายแต่ไม่มีกรอบหรือเป้าหมาย และกลับมานั่งเขียนคำของบประมาณ และทำให้คำของบประมาณในประเทศไทยพุ่งสูง โดยในปี 67 พุ่งสูง 5.5 ล้านล้านบาท และปี 68 คำของบประมาณก็ล้นถึง 6.6 ล้านล้านบาท ทั้งๆ ที่งบประมาณประเทศมีแค่ 3.7 ล้านล้านบาท

วัฒนธรรมคำของบประมาณประเทศเรา หน่วยงานไม่รู้กรอบก็ทำคำของบประมาณให้เยอะไว้ก่อนเพราะกลัวโดนสำนักงบประมาณตัด กระบวนการปัจจุบันหน่วยงานราชการหรือผู้รับงบต่างๆ ในกระทรวง เป็นผู้รับมอบหมายให้ทำตามนโยบายรัฐบาล แต่กลับเป็นเพียงผู้เขียนคำของบประมาณเข้ามาเท่านั้น เพราะผู้ที่มีโอกาสในการจัดเรียงความสำคัญของแต่ละโครงการจริงๆ คือสำนักงบประมาณ ที่เป็นคนกำหนดทิศทางของประเทศนี้ผ่านการจัดสรรงบประมาณ และกำหนดว่ากระทรวงไหนจะได้ทำโครงการอะไรด้วยงบประมาณเท่าไหร่ และจังหวัดไหนจะมีโอกาสได้เจริญ ได้พัฒนาด้วยงบประมาณเท่าไหร่

นส.รักชนก กล่าวอีกว่า เมื่อปัญหาการจัดสรรงบประมาณอยู่ที่สำนักงบ ทั้งการจัดสรรงบประมาณที่ไม่ชัดเจน และการจัดทำไฟล์สำนักงบที่ขอให้ทำเป็นไฟล์ Excel เพื่อให้ สส. และประชาชนได้วิเคราะห์งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่วาระ 1 จะเข้า แต่สำนักงบกลับไม่มีปัญญาที่จะทำไฟล์ Excel ให้กับสภาฯ และประชาชนได้พิจารณาเลย และให้ไฟล์ Excel มาแต่ก็ใช้ไม่ได้ทำแบบขอไปที ทำงานแบบนี้ไม่รู้กี่ปีแต่กลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย และประชาชนก็ไม่รู้ว่าสำนักงบเป็นคนจัดงบสรรประมาณ


อีกทั้งการวัดผล Self Report ตลอดทั้งกระบวนการก็ไม่มีการวัดความคุ้มค่าอย่างเป็นรูปธรรมหรือมีประสิทธิภาพ ซึ่งหน่วยงานราชการต้องเป็นตัวชี้วัดเอง ประเมินผลตัวเอง รายงานผลตัวเอง และให้ตัวเองผ่านการชี้วัด ซึ่งประเทศไทยกี่ปีผ่านไปก็ได้ผลแบบนี้เพราะเกิดจากการวัดผลด้วยตัวเอง กระบวนการจัดสรรแบบนี้และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นแล้วว่ามันไม่เวิร์ค และไม่พาประเทศไทยไปไหน แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้ามาปฏิรูปกระบวนการงบประมาณอย่างจริงจัง

น.ส.รักชนก กล่าวต่อว่า วันนี้ตน จึงขอเป็นตัวแทนของพรรคก้าวไกลในการมาบอกเล่าถึงกระบวนการจัดสรรงบประมาณเพื่ออนาคต โดยเสนอ 4 กระบวนท่าสู่การปฏิรูปงบประมาณ คือ ตั้งเป้าหมายและกรอบงบประมาณในการทำยุทธศาสตร์จัดสรร, เปลี่ยนอำนาจการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณให้เป็นกระทรวงจัดเอง, การจัดซื้อจัดจ้างอย่างมียุทธศาสตร์ และ ทำงบประมาณแบบเน้นผลลัพธ์วัดผลเพื่อไปข้างหน้า

น.ส.รักชนก กล่าวในช่วงท้ายว่า สิ่งที่ตนเรียนรู้จากการทำงานกับหน่วยงานราชการราชการต่างๆ และรับข้อแนะนำ รวมถึงปัญหามาตลอดหนึ่งปีจึงรวบรวมมานำเสนอให้รัฐบาลได้นำไปปรับปรุง และอยากเห็นระบบงบประมาณที่ใช้งบประมาณจากประชาชนที่มาจากภาษีของประชาชนได้คุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ และมีประสิทธิภาพ พร้อมฝากไปถึงรัฐบาลว่าต่อให้ปฏิรูปงบประมาณทั้งหมดแล้วหรือแก้ไขทุกช่องโหว่ที่มีอยู่ในงบประมาณ แต่คุณภาพชีวิตของประชาชนยังเหมือนเดิม ศักยภาพของประเทศก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับใครได้เหมือนเดิม ปัญหาก็อาจจะไม่ได้อยู่ที่งบประมาณแล้ว แต่อาจจะเป็นที่รายละเอียดของนโยบายของท่าน และวิธีของรัฐบาลท่านเอง .- 317 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชิญกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ถึง ส.ค.นี้

ทำเนียบ 14 พ.ค.-รัฐบาลเชิญกลุ่มเสี่ยงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ถึงสิ้นเดือนสิงหาคมปีนี้ ทุกสถานพยาบาลทั่วประเทศ นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ารัฐบาลโดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการจัดเตรียมวัคซีนเพื่อป้องกันสายพันธุ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ตามการประกาศขององค์การอนามัยโลก (WHO) โดยจัดเตรียมวัคซีนรองรับ 4,570,000 ล้านโดส กระจายหน่วยบริการให้บริการฉีดกลุ่มเป้าหมาย ระบุเป็นวัคซีนป้องกัน 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ A(H1N1), สายพันธุ์ A (H3N2) และ สายพันธุ์ B วิคตอเรีย ที่มีประสิทธิผลและมีความปลอดภัย สปสช. กำหนดเป้าหมายเพื่อฉีดให้กับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ที่แนะนำ 12 -20 สัปดาห์ (สามารถให้ได้ตลอดการตั้งครรภ์) 2. เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี 3. ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 […]

เยี่ยม ด.ต. ถูก สจ.กอล์ฟ ลูก สส.ปชป. ทำร้ายในหน่วยเลือกตั้ง

สงขลา 14 พ.ค.-“ชัยชนะ” เยี่ยม ด.ต. ถูก สจ.กอล์ฟ ลูก สส.ปชป. ทำร้ายในหน่วยเลือกตั้ง ย้ำพร้อมช่วยเหลือทุกกรณี หากไม่ได้รับความเป็นธรรม นายชัยชนะ เดชเดโช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางเข้าเยี่ยมด.ต.นิสาธิต คงเทพ ผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้ง ณ เรือนรับรองตำรวจชายแดนที่ 43 จังหวัดสงขลา โดยในโอกาสนี้ นายชัยชนะได้มอบกระเช้าและเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับครอบครัว นายชัยชนะ ได้พูดคุยกับ ด.ต.นิสาธิต ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยืนยันว่าในฐานะประธานกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร หากมีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นหรือมีความต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใด กรรมาธิการตำรวจพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นอกจากนี้ นายชัยชนะ ยังได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งขอโทษประชาชนที่เกิดความไม่สบายใจที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าพรรคให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบและการแก้ไขสถานการณ์อย่างเหมาะสม.-312.-สำนักข่าวไทย

ปูพรมค้น 6 จุด ตามจับแก๊งฆ่าเผานั่งยาง

ตรัง 14 พ.ค. – ตำรวจปูพรมปิดล้อม 6 จุด ตามจับแก๊งฆ่าเผานั่งยาง 4 ศพ ในสวนปาล์มน้ำมัน จ.ตรัง ล่าสุดตามยึดรถกระบะของกลางที่คนร้ายใช้ไปซื้อยางรถยนต์มาก่อเหตุ เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.) ตำรวจสอบสวนกลางนำกำลังร่วมกันตรวจยึดรถกระบะโตโยต้า สีเทาดำ (สงวนหมายเลขทะเบียน) และสิ่งของอื่น ๆ อีกหลายรายการ ที่บ้านแห่งหนึ่ง ใน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 คน คือ นายศุภกรณ์ รักวิวัฒน์ หรือ “บิน ควนกุน” อายุ 37 ปี หัวหน้าแก๊งและเป็นผู้มีอิทธิพล, นายจรณชัย สมาธิ หรือ แต้ม อายุ 32 ปี, นายปิยะศักดิ์ สุวรรณมณี หรือ แจ๊ค อายุ 33 ปี และนายรพีพันธ์ บุญเกื้อ […]

แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ส่งทนายยื่นขอความเป็นธรรมปมมติแพทยสภา

สธ. 13 พ.ค. – แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ส่งทนายความส่วนตัวยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อสภานายกพิเศษ กรณีมติที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภา ปม “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ นายเนติธร หลินหะตระกูล ทนายความส่วนตัวที่ได้รับมอบอำนาจจาก พล.ต.ท.ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) โรงพยาบาลตำรวจ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะนายกสภาพิเศษ กรณีที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภามีมติการพิจารณาคดีจริยธรรมของแพทย์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนในกรณีที่มีการกล่าวโทษแพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ผิดจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม ปม “ทักษิณ ชินวัตร” รักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีมติลงโทษแพทย์ 3 คน โดยเป็นการว่ากล่าวตักเตือน 1 คน ในกรณีประกอบวิชาชีพและเวชกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน เกี่ยวกับการออกใบส่งตัว และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 คน ในกรณีให้ข้อมูล หรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้งนี้ มีนายกองตรี ดร.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้รับเรื่อง นายกองตรี […]

ข่าวแนะนำ

นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน

เวียดนาม 16 พ.ค.-นายกฯ ร่วมพิธีวางพวงมาลาอนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน รวมทั้งสุสานโฮจิมินห์ เน้นย้ำไทยให้ความสำคัญประวัติศาสตร์และมิตรภาพกับเวียดนาม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์วีรชนและผู้เสียสละบั๊กเซิน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวีรกรรมของนักปฏิวัติผู้เสียสละชีวิต เมื่อปี ค.ศ. 1940 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของขบวนการต่อสู้ของเวียดนามภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ โดยตั้งอยู่บนถนนบั๊กเซิน (Bạch Sơn Street) ในพื้นที่ใกล้กับจัตุรัสบาดิ่งห์ โดยออกแบบในสไตล์ศิลปะสังคมนิยม ที่ประกอบด้วยกลุ่มรูปปั้นนักรบปฏิวัติ แสดงถึงความกล้าหาญและความสามัคคีของนักต่อสู้เพื่อเอกราชของเวียดนาม หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางต่อไปยังสุสานโฮจิมินห์ ตั้งอยู่ที่จัตุรัสบาดิ่งห์ สถานที่ซึ่งอดีตผู้นำโฮจิมินห์เคยอ่านคำประกาศเอกราชของเวียดนามในปี ค.ศ.1945 ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมทรงอนุสรณ์สถาน โดยใช้หินอ่อนและหินแกรนิตคุณภาพสูง ผสมผสานระหว่างศิลปะสังคมนิยม กับเอกลักษณ์เวียดนาม โดยโฮจิมินห์เป็นบุคคลสำคัญของเวียดนาม ผู้ได้รับการยกย่องในฐานะ “บิดาแห่งชาติ” ที่นำพาประเทศสู่การประกาศเอกราช และเป็นผู้ประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ทั้งนี้ การเข้าร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ สถานที่สำคัญของเวียดนามครั้งนี้ แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและเวียดนาม ตลอดจนการให้ความสำคัญต่อประวัติศาสตร์และการเมืองของประเทศพันธมิตรที่สำคัญของไทยอย่างเวียดนาม จากนั้น เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีและคณะจะเข้าร่วมประชุมหารือทวิภาคีกลุ่มเล็ก กับนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ณ ทำเนียบรัฐบาล.-314.-สำนักข่าวไทย

“เปรมชัย” นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัว กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม

กทม. 16 พ.ค.-“เปรมชัย” ผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทย นั่งวีลแชร์ เข้ามอบตัวพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ กรณีตึกกำลังสร้าง สตง. ถล่ม ด้านวิศวกร ผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง ทยอยเข้ามอบตัวเช่นกัน เวลา 08.00 น. นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประมูลโครงการก่อสร้างหลัก อาคาร สตง.แห่งใหม่ ซึ่งพังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว และตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ฐาน “เป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้าง ซ่อมแซมหรือรื้อถอนอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ หรือวิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆ โดยประการที่น่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่น เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 , 238 นายเปรมชัย นั่งวีลแชร์ มีพยาบาลส่วนตัวประกบ เดินทางมาที่ สน.บางซื่อ พร้อมทนายความและญาติ เพื่อเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้บริหารบริษัทกิจการร่วมค้า รวมถึงกลุ่มวิศวกร อีก 13 […]

“บิ๊กเต่า” นำค้นวัดไร่ขิง 3 จุด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด

นครปฐม 16 พ.ค.-“บิ๊กเต่า” นำกำลังตำรวจกองปราบบุกค้นวัดไร่ขิง 3 จุด หาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เอี่ยวคดียักยอกเงินวัด 300 ล้าน พร้อมนำหมายค้นบ้านประชาชน 1 จุด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่วัด เผยอดีตเจ้าคุณแย้มสารภาพไม่หมด เวลา 07.00 น. พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ตรวจค้นภายในวัดไร่ขิงพระอารามหลวง มีทั้งหมด 3 จุด และบริเวณโดยรอบอีก 1 จุด ซึ่งจุดแรกในวัดไร่ขิงคือกุฏิของพระธรรมวชิรานุวัตร หรือเจ้าคุณแย้ม อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงและเจ้าคณะภาค 14 โดยมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่ขิงเป็นผู้ที่นำเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในกุฎิ พร้อมสังเกตการณ์ ทันทีที่เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการถึงบริเวณหน้ากุฎิเจ้าอาวาส ได้ให้ตำรวจอ่านหมายค้น เพื่อเข้าตรวจสอบและยึดสิ่งของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการกระทำความผิด ทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปใช้ประกอบหลักฐานการสอบสวนไต่สวนมูลฟ้องในการพิจารณาความผิด ขณะที่พลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังจากการอ่านหมายค้น ว่า วันนี้เป็นการตรวจค้นเกี่ยวกับเส้นเงินที่ไหลไปตามบัญชีต่างๆ มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ต้องมีการเรียกสอบรายบุคคลพร้อมกับการตรวจค้น โดยหลักๆ ส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ โดยมุ่งเน้นไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ […]

รวบ 19 คนไทยรับจ้างกดเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์

15 พ.ค.- เปิดปฏิบัติการ “The Scam เงินแท้ คนเก๊” รวบ 19 คนไทยขายชาติ รับจ้างกดเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยึดทรัพย์รวม 6.6 ล้านบาท พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ร่วมแถลงข่าว กรณีมีผู้เสียหายจากการถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง โดยทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งสายที่ 1 อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ มีพัสดุมาส่ง จากนั้นได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ส่ง (สายที่ 2) เมื่อผู้เสียหายโทรกลับไป อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่กองคลัง โดยให้ทำตามขั้นตอนที่คนร้ายสั่ง อ้างเพื่อเพิ่มเงินบำนาญ โดยได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินครั้งแรกจำนวน 720,000 บาท และต่อมาได้มีสายที่ 3 โทรเข้ามาหาผู้เสียหาย อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแจ้งว่าการทำธุรกรรมที่ได้ทำไปก่อนหน้านั้นผู้เสียหายถูกมิจฉาชีพหลอก เป็นเหตุให้ต้องระงับบัญชี และให้ทำตามขั้นตอนจากธนาคารแทน ผู้เสียหายหลงเชื่อ ทำให้ต้องโอนเงินไปอีกเป็นจำนวน 6 ครั้ง แต่มาทราบภายหลังว่าสุดท้ายเป็นการโอนเงินออกจากบัญชีทุกบัญชีของตนเองไปยังบัญชีของคนร้าย รวมความเสียหายทั้งหมด 3,942,767 บาท พฤติการณ์ดังกล่าว ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้ร่วมกันกระทำความผิดเป็นกระบวนการ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอท. จึงได้ทำการสืบสวนพิสูจน์ทราบข้อมูล […]