ก้าวไกลซัดไม่ควรตั้งงบฉุกเฉินไว้ในงบกลาง

รัฐสภา 20 มี.ค.-สภาฯ ไม่ปรับลดงบกลาง ยึดตาม มธ.เสียงข้างมาก “เรืองไกร” แฉมีคนล็อบบี้งบนายกฯ พันล้าน เลยเสนอตัดออก ขู่ถ้ายังไม่ตัด เจอร้องป.ป.ช.แน่ ขณะ “ศิริกัญญา” ซัดไม่เคยถอดบทเรียนจากรัฐบาลที่แล้ว งบฉุกเฉินควรใช้ตอนฉุกเฉิน ไม่ใช่ตั้งงบกลางขาดแล้วเอาเงินฉุกเฉินไปใช้ ด้าน “นิคม” เสนอลด 1 % เหตุบางรายการตั้งไว้สูง แต่ใช้ไม่ถึง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ในวาระ 2 และ 3 มาตรา 6 ซึ่งเป็นการพิจารณางบประมาณรายจ่ายงบกลาง น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น ขออภิปรายปรับลดงบกลางให้เหลือ 5.7 ล้านล้านบาท โดยระบุว่า อยากให้รัฐบาลจัดสรรงบตามวัตถุประสงค์ในการมีงบกลาง โดยทางปีนี้รัฐบาลไม่ได้จัดสรรเบี้ยหวัดบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลของบุคลากรภาครัฐไว้อย่างเพียงพอ

“เป็นการพลาดแล้ว พลาดอยู่ พลาดต่อ โดยปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้วที่ตั้งงบไว้ขาดเป็นจำนวนมาก เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ ตั้งขาดไป 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลบุคลากรภาครัฐตั้งขาดไป 2 หมื่นล้านบาท เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นความจริงในการตั้งงบประมาณขาด แต่จะขาดเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการประมาณการ สุดท้ายต้องใช้งบกลางเงินสำรองรายจ่ายฉุกเฉิน คิดว่ารัฐบาลไม่ได้ถอดบทเรียนจากรัฐบาลชุดที่แล้วเลย ในการจัดทำงบกลางให้ดีขึ้น” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว


น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เท่ากับว่าเราไม่ต้องใช้เงินสำรองรายจ่ายฉุกเฉินเพื่อไปทำมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการในการช่วยเหลือประชาชน ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนแต่อย่างใดแล้วใช่หรือไม่คะ วัตถุประสงค์ของงบกลางไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ไว้ใช้อุดช่องโหว่ในการทำนโยบายของรัฐบาล  ดังนั้น งบประมาณฉุกเฉินควรจะต้องใช้เมื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินและจำเป็นจริง ๆ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลตั้งใจตั้งงบขาด แล้วจะมาใช้เงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น จึงเสนอให้ตัดลดงบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นลง 3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น อภิปรายขอปรับลดงบกลาง 1.4 พันล้านบาท โดยระบุว่า ในกรรมาธิการที่มีการหารือกันอยู่นั้น มีรองประธานกรรมาธิการบอกว่าของบให้รัฐสภาไทย ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะจะมีส่วนได้เสีย

“ในการพิจารณาปรับเพิ่ม 1 พันล้านบาท วันนั้นมีการพูดคุยกันกลางห้องประชุม จับกลุ่มพูดคุยว่าจะเอาตรงไหนไปไหนมีการบอกว่าจะเอาไปประกันสังคม 500 ล้านบาท ตัว 1 พันล้านบาทบอกว่าท่านนายกฯ ขอมา ผมฟังแล้วผมก็ตกใจ ถ้าบอกขอมา อย่างนี้วันนี้ผมต้องขอเสนอตัดออก เพราะให้ผ่านไปไม่ได้ ถ้าให้ผ่านไปในมาตรา 144 ก็ต้องถูกร้องแน่ การที่มาพูดแล้วในห้องกรรมาธิการ แม้ว่าจะไม่ได้ออกเสียง แต่ก็มีคณะกรรมาธิการที่เป็นคณะรัฐมนตรีนั่งอยู่ด้วย…ศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติคำวินิจฉัยไว้ว่าถ้ามีส่วนได้เสียในเรื่องนั้นก็ต้องไม่อยู่ในห้อง เฉกเช่นเดียวกันกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ท่านก็ทำเป็นตัวอย่าง ผมยังติดใจเรื่องนี้และเสนอให้ท่านตัด 1 พันล้านบาทออกไป เพราะอย่างไรงบกลางก็ยังมี 9 หมื่นกว่าล้าน อย่าไปเสี่ยงกับเงินเล็กน้อย และมีปัญหาทางข้อกฎหมาย เพราะอย่างไรเสียผมเป็นกรรมาธิการ แม้เสียงข้างน้อย ผมก็ใช้สิทธิ์ที่จะต้องยื่น ป.ป.ช.แน่นอน ถ้าตัวเลขนี้ไม่ตัดออก” นายเรืองไกร กล่าว


ด้านนายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่างบที่ตั้งไว้สูงมาก เปรียบเสมือนการตีเช็คเปล่าแต่เมื่อมาดูเนื้อหาสาระ การตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางค่อนข้างสูงนั้นเป็นงบที่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถตัดได้เลย โดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการลูกจ้างข้าราชการของรัฐกว่า 79 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลต้องตั้งเพราะบางปีใช้ไม่เพียงพอ งบช่วยเหลือ ข้าราชการลูกจ้างพนักงาน 4.5 พันล้านก็ถือว่ายังน้อยอยู่ รวมถึงเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญที่ต้องมาดูแลผู้สูงอายุ จึงทำให้งบประมาณรายจ่ายกลางมีสูง แต่ยังมีงบบางงบ ที่สามารถตัดได้ เนื่องจากว่าเป็นงบที่ตั้งไว้กรณีเงินสำรองจ่ายเงินสมทบและเงินชดเชย ซึ่งตั้งไว้ 7 หมื่นล้าน เงินก้อนนี้ทุกปีใช้ไม่ถึง

“ควรตัดออกมา 2.5 พันล้าน ตัดไปช่วยเหลือไปลงทุนให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้ช่วยเหลือ SME และทำให้เกิดการจ้างงานอาชีพเศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น และเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินจำเป็นซึ่งเราตั้งไว้เยอะทุกปีบางปีใช้ไม่เพียงพอบางปีใช้เงินเกิน ซึ่งเป็นงบที่ตั้งไว้กรณีที่มีวาตภัยที่ทำให้บ้านเรือนประชาชนดีหมายอุทกภัยน้ำท่วมจำเป็นต้องใช้งบตรงนี้เร่งด่วน รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งไว้ 9 หมื่นล้านบาท แต่ถึงแม้จะตั้งไว้เท่านี้ แต่สามารถตัดได้ 3.5 พันล้านเพราะบางครั้งใช้ไม่หมด เพื่อเอาไปใช้ในสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เห็นควรปรับลดงบกลาง 1 % จำนวน 6 พันล้าน” นายนิคม กล่าว

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กมธ.สัดส่วนพรรคไทยสร้างไทย ขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ปีนี้มีการตั้งงบประมาณในส่วนของงบกลางเอาไว้ 6.657 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเบี้ยหวัด ค่ารักษาพยาบาลราชการหรือลูกจ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นรายจ่ายประจำควรแยกส่วนต่างหากไม่ควรนำมารวมไว้ในงบกลาง ให้เข้าใจไขว่เขวว่าเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารทั้งที่เป็นเงินที่ต้องจ่ายเป็นประจำตามกฎหมายนั้น ๆ ส่วนเงินที่ต้องสำรองจ่ายหากฉุกเฉินหรือจำเป็นที่จะใช้ได้ในกรณีที่ฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยปีนี้ตั้งไว้สูงถึง 9.85 หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่มีรายละเอียดใดๆ ให้ตรวจสอบ นอกจากนี้ ในช่วงการพิจารณาปรับลดของกมธ.นั้น รัฐบาลได้แปรเพิ่มจากงบที่ปรับลดจากหน่วยราชการต่างๆ มาไว้ในงบกลางอีกจำนวน 1 พันล้านบาทรวมเป็นงบกลางที่ตั้งไว้ใช้จ่ายเพื่อสำรองจ่ายในกรณีที่ฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเป็น 9.95 หมื่นล้านบาท อีกเพียง 500 ล้านจะถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากอย่างเป็นประวัติการณ์

“มีข้อสังเกตว่าในงบประมาณจำนวนนี้ น่าจะมีบางส่วนมาจากการปรับลดโครงการซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือที่ตั้งงบประมาณปี 67 ไว้กว่า 1,700 ล้านบาท แต่ถูกตัดออกทั้งหมด และงบที่ถูกตัดทั้งหมดย่อมถูกนำมาอยู่ในงบกลาง ฉะนั้น การใช้จ่ายงบกลางของรัฐบาลนี้ก็ควรที่จะต้องใช้จ่ายให้ตรงกับวัตถุประสงค์คือเป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน ไม่เปิดช่องไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นใดๆ หากโครงการที่รัฐบาลอนุมัติไม่เหมาะสม ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนจริง ๆ จะเกิดการเปรียบเทียบกับเรือฟริเกตของกองทัพเรือเพื่อมาปกป้องอธิปไตย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลับถูกปรับออกไป การใช้จ่ายงบกลางต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะจะถูกจับตาจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะจากกองทัพเรือ หากเป็นไปได้งบประมาณปี 68 รัฐบาลควรหากแนวทางให้กองทัพเรือได้เรือฟริเกตโดยมีเงื่อนไขให้กองทัพเรือสนับสนุนอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลที่เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภา เพราะเงินงบประมาณก็จะไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ หมุนเวียนอยู่ในประเทศเราเอง ผมจะรอฟังคำตอบประเด็นนี้จากรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม” นายชวลิต กล่าว

ด้านนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ขอตัดงบในมาตรานี้ลง 10 เปอร์เซ็น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน หรือรายจ่ายจำเป็น มีเรื่องของโครงการที่เรียกว่าเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลก่อนหน้านี้หรือรัฐบาลปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเอาเด็กเป็นตัวประกันในการใช้จ่ายงบกลาง และเมื่อย้อนกลับไปดูประเทศไทยมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ทั้งหมด 4 ล้านคนเศษ แต่รัฐบาลไม่ได้ใช้เงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้าแบบงบประจำถ้วนหน้าไปเลย แต่ใช้เงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบจำกัดจำนวน และใช้จ่ายงบกลาง และตั้งแต่ปี 2566 ก็ขอใช้งบกลางตลอด จนกลายเป็นงบประจำไปแล้ว รวมถึงอ้างเรื่องความยากจน โดยในปี 2566 ซึ่งถือว่าเข้ารัฐบาลชุดนี้ ขอใช้จ่ายเงินงบกลางทั้งสิ้น 998.4 ล้านบาท แต่การเตรียมความพร้อมในการใช้จ่ายงบกลางทำให้ พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กจำเป็นต้องรอเงินที่อาศัยงบกลาง นี่คือการสะท้อนประสิทธิภาพของการเบิกจ่ายงบกลาง เพราะหากรัฐบาลใช้ระบบโครงการอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้า ก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยงบกลางแบบนี้

ขณะที่นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงว่า งบกลางในหมวดสำรองจ่ายในปี 67 ที่เรากำลังพิจารณากันมีการเบิกจ่ายต่ำ เนื่องจากในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนของงบกลางที่เป็นเงินสำรองจ่ายนั้น สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงความพร้อม ความสามารถตามระเบียบความจำเป็น แผนงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามที่สำนักงบประมาณควรจะต้องพิจารณา ส่วนใหญ่งบกลางจะจัดสรรในช่วงกลางปีงบประมาณ แต่ในเรื่องของการเบิกจ่ายมีความล่าช้าส่วนใหญ่ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องของภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดในช่วงฤดูฝนหรือช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้มีความคาดหมายไว้ล่วงหน้า การของบประมาณจึงเกิดขึ้นในช่วงนี้

“ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการนั้น เป็นการตั้งงบประมาณในรอบ 1 ปีงบประมาณเท่านั้น ซึ่งการเบิกจ่ายเป็นเรื่องที่เราไม่ได้คาดการณ์มาก่อน และคิดว่าประชาชนคนไทยคงไม่อยากเจ็บป่วย ทำให้การตั้งงบประมาณเป็นไปตามสมมุติฐานที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเพียงพอ สามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่บุคลากรภาครัฐจะมีการเบิกจ่ายรวมถึงระดับมหภาคด้วย อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายจะเป็นไปตามสิทธิ การขอใช้สิทธิตามความเป็นจริงที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ ประเด็นเรื่องการใช้งบกลางที่ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์จะเห็นว่าเป็นการสำรองจ่ายใช้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งการตั้งงบประมาณไว้เราคาดการณ์ไว้ว่างบประมาณที่ตั้งไว้เป็นงบประมาณที่มีความจำเป็นต้องจัดสรรในเรื่องต่าง ๆ ทั้งนี้ งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เราจะบริหารงบประมาณอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงขอยืนยันว่าดิฉันเห็นกับกรรมาธิการในมาตรานี้” นางมนพร กล่าว

ภายหลังการอภิปรายของสมาชิก ที่ประชุมได้ลงมติให้ความเห็นชอบ 279 เสียง ยึดตามการแก้ไขของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยมีเสียงไม่เห็นด้วย 160 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง.-312.-สำนักข่าวไทย       

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

นายกสมาคมค้าทองคำ รับทองขึ้นเร็ว-แรง สิ้นปีทองไทยอาจแตะ 59,000 บาท

กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – ทองไทยทุบสถิตินิวไฮรอบใหม่ เปิดตลาดพุ่งพรวด 550 บาท ทองไทยแตะ 57,300 บาท ตามราคาทองโลกที่นิวไฮต่อเนื่อง นายกสมาคมค้าทองคำ รับทองขึ้นเร็ว-แรงกว่าคาด สิ้นปีทองไทยอาจแตะ 59,000 บาท สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทองคำเปิดตลาดเช้านี้ (23 ก.ย.) เวลา 09.04 น. ปรับเพิ่มขึ้นทันที 550 บาท โดยทองแท่ง ราคารับซื้อ 56,400 บาท ขายออก 56,500 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อ 55,273.36 ขายออก 57,300 บาท แตะระดับสุงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ โดยล่าสุดเมื่อเวลา 09.49 น. ปรับเปลี่ยนไปแล้ว 3 ครั้ง ทองแท่ง รับซื้อ 56,300 บาท ขายออก 56,400 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อ […]

“แม่ทัพกุ้ง” รับเคยถูกทาบนั่งตำแหน่งระดับสูง แต่ปฏิเสธ มองไม่ยั่งยืน

กองทัพบก 23 ก.ย.- “แม่ทัพกุ้ง” เผยการเมืองทาบทามนั่งตำแหน่งระดับสูง แต่ปฏิเสธ มองไม่ยั่งยืน ขอเป็นที่ปรึกษาเพื่อนๆ ในกองทัพ ย้ำ ปะทะรอบ 2 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ มองเหตุพื้นที่สระแก้ว-กปจ.ชต.เชื่อมต่อ ทภ.2 เส้นเขตแดนเดียวกัน พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่2 ตรวจเยี่ยมศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ภายในกองบัญชาการกองทัพบก พร้อมร่วมร้องเพลงชาติกับเด็ก โดยพลโทบุญสิน กล่าวย้ำว่า แม้จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ยืนยันว่าจะยังคงช่วยงานของกองทัพอย่างแน่นอน แม้ไม่ได้แต่งเครื่องแบบทหารแล้ว ยังสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับเพื่อน ๆ ได้ พร้อมยืนยันว่าจะไม่ทำงานด้านการเมือง และที่ผ่านมา ตนได้เข้าไปพูดคุยกับนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเราบอกว่าไม่ได้เล่นการเมือง เขาก็เปิดใจ พูดคุยกับเรา ยืนยันตนจะรักษาสถานภาพนี้ไปเรื่อยๆ ไม่เอาเรื่องการเมืองเข้ามายุ่ง รับว่ามีคนติดต่อเข้ามา จะให้ตำแหน่งระดับสูงทางการเมือง แต่ก็ไม่เอา มองว่าไม่ยั่งยืน นอกจากนี้พลโทบุญสิน ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา(RBC) ว่า ยังไม่ได้กำหนดวัน ส่วนการถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ตามข้อตก การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC)ที่ให้รือกันภายใน3สัปดาห์ นั้น ยังไม่ได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งยอมรับว่าเป็นสิ่งที่เขาพูดกันเอาไว้ แต่ก็ต้องรอดูสถานการณ์ […]

ราคาหมูร่วงจากกำลังซื้อหด-ศก.ซบ-แรงงานต่างชาติหาย

กรุงเทพฯ 23 ก.ย.- ราคาหมูร่วงจากกำลังซื้อหด-เศรษฐกิจซบ-แรงงานต่างชาติหาย สมาคมผู้เลี้ยงหมูผนึกกำลังร่วมแก้ปัญหา ขายหมูราคาพิเศษ นำร่องวันนี้ “2 กก. ราคา 100 บาท” ตัดวงจรลูกสุกร เก็บหมูเข้าห้องเย็น จำกัดน้ำหนักเข้าเชือด หวังดึงตลาดกลับสู่สมดุล ราคาสุกรขุนหน้าฟาร์มปรับตัวลดลงต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ปัจจุบันเหลือเพียง 52-64 บาท/กก.กำลังกลายเป็นปัญหาที่สร้างแรงกดดันต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรทั่วประเทศ นายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่ววว่า สมาคมฯเร่งออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสร้างเสถียรภาพตลาด ซึ่งราคาหมูตกต่ำเกิดจากหลานปัจจัย ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลงต่อเนื่อง การหดตัวของภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหาร รวมถึงการที่แรงงานกัมพูชาจำนวนมากเดินทางกลับประเทศ ส่งผลให้การบริโภคลดลง นอกจากนี้ ฝนที่ตกยาวนานยิ่งทำให้การจับจ่ายไม่คึกคัก ผลที่ตามมาคือปริมาณสุกรมีมากเกินความต้องการบริโภค ราคาขายหน้าฟาร์มตกต่ำลงจนต่ำกว่าต้นทุนการผลิต เกษตรกรจำนวนไม่น้อยเริ่มประสบภาวะขาดทุนสมาคมฯ จึงวางมาตรการสำคัญหลายด้าน ได้แก่ การจัดกิจกรรม “หมู 2 โล 100” เพื่อกระตุ้นการบริโภค ซึ่งจะจัดพร้อมกันทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ นอกจากนี้ยังมีมาตรการเพื่อเร่งลดปริมาณสุกรในตลาด ได้แก่ โครงการตัดวงจรลูกสุกร นำมาทำหมูหันทันทีจำนวน 100,000 ตัว เพื่อลดซัพพลายในช่วง 4 […]

คาดพายุ “รากาซา” ขึ้นฝั่งเวียดนาม 25-26 ก.ย. ไทยตอนบนฝนตกต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ 23 ก.ย. – กรมอุตุนิยมวิทยาคาดพายุ “รากาซา” จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนขึ้นฝั่งเวียดนามตอนบน 25–26 ก.ย.นี้ ส่งผลร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น เตือนภาคเหนือ อีสาน และตะวันออกตอนล่าง เสี่ยงฝนตกหนัก น้ำหลาก น้ำท่วมฉับพลัน นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (22 ก.ย.) พายุไต้ฝุ่น “รากาซา” ได้เคลื่อนตัวลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนแล้ว ขณะนี้กำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก มุ่งหน้าไปยังเกาะฮ่องกง จากนั้นจะเลียบชายฝั่งประเทศจีน ผ่านเกาะไหหลำ และลงสู่อ่าวตังเกี๋ย โดยคาดว่า จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนก่อนเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบนช่วงวันที่ 25–26 กันยายน 2568 แม้พายุจะมีแนวโน้มอ่อนกำลังลงเร็ว เนื่องจากปะทะกับมวลอากาศเย็นที่แผ่ลงมาจากจีนตอนใต้ แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศในไทย โดยเฉพาะการเสริมกำลังของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้หลายพื้นที่ในประเทศไทยตอนบนมีแนวโน้มฝนตกหนักเพิ่มขึ้น สำหรับฝนช่วงวันที่ 23–30 กันยายน 2568 ยังคงได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือตอนล่างและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ร่วมกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางถึงค่อนข้างแรง โดยร่องมรสุมยังขยับขึ้น-ลง พื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังฝนตกหนักถึงหนักมาก ได้แก่ สำหรับประชาชนใน ลุ่มน้ำเจ้าพระยา […]