“ปานปรีย์​” ลงพื้นที่แม่สอด ดูสถานการณ์ไทย-เมียนมา

ตาก 8 ก.พ.- “ปานปรีย์​” ลงพื้นที่​ดูจุดริเริ่มส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมชายแดนไทย-เมียนมา​ เผยประสานลงตัว​ คาด​ 1 เดือนเห็นเป็นรูปธรรม​ ยืนยัน​ ไม่ใช่ศูนย์​ลี้ภัย​ โต้คนกังขา​ ประสานกาชาดเมียนมาเป็นกลางหรือไม่​ เชื่อเจตนาต้องการช่วยเหลือผู้เดือดร้อน​ ลั่น​ ไม่ใช่เรื่องการเมือง​ มอง​ ปัญหาภายในไม่ขอแทรกแซง


นายปานปรีย์​ พหิทธานุกร​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​การต่างประเทศ​ เดินทางลงพื้นที่อำเภอแม่สอด​ จังหวัดตาก เพื่อรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจและสาธารณสุขชายแดน ที่อาคารด่านศุลกากรแม่สอด สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย-ตองยิน แห่งที่ 2​ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม​ อาทิ​ นายสมชัย​ กิจเจริญ​รุ่งโรจน์​ ผู้ว่าราชการจังหวัด​ พลตรีณรงค์ฤทธิ ปาณิกบุตร​ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4​ ร่วมประชุม​ จากนั้นเยี่ยมชมจุดผ่านแดนถาวรไทย-เมียนมา บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 และพิธีการศุลกากรที่อาคารด่านศุลกากรแม่สอด

นายปานปรีย์​ กล่าวว่าจะผลักดันการตั้งศูนย์ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมให้เป็นรูปธรรมได้ภายใน 1 เดือน ให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา​ โดยจุดนี้เป็นจุดแรก ที่จะส่งความช่วยเหลือเข้าไป ซึ่งได้มีการประสานกับ รัฐบาลเมียนมาในลำดับแรกและได้รับการตอบรับด้วยดี และส่งทีมมาพูดคุยยังประเทศไทย


ขณะเดียวกันนายปานปรีย์​ ยังระบุอีกว่า​ รัฐบาลไทยมีความพยายามในการประสานกับชนกลุ่มน้อยต่างๆซึ่งมีจำนวนมาก ซึ่งในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการครั้งที่ผ่านมา ได้ตั้ง​นายอรุณ​ แก้ว​ มาประสานงานนำร่องไปเจรจาและไทยก็พยายามประสานอยู่​ ซึ่งคาดว่าเมื่อทุกฝ่ายสามารถร่วมมือกันช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้ จะเกิดการพูดคุยกัน ที่จะนำไปสู่การพูดคุยหรือที่เรียกว่า dialog ซึ่งเชื่อว่าหากสามารถพูดคุยกันได้ก็จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมา และอาจจะทำให้มีการหยุดยิง นำไปสู่การเจรจาเพื่อสันติภาพต่อไป จึงคิดว่าข้อริเริ่มที่ไทยดำเนินการ อาจนำไปสู่การพูดคุยได้เพราะเป็นเรื่องกับประชาชนโดยตรงไม่มีเรื่องของการเมือง​ ดังนั้นทุกฝ่ายน่าจะเห็นด้วยกับแนวทางนี้ที่อาเซียนเสนอมาตั้งแต่ต้น พร้อมกับเชื่อว่าทุกฝ่ายในเมียนมาต้องการความสงบสุข และกลับไปสู่สันติภาพ และทางเดียวที่ทำได้คิดว่าการที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมาพูดคุยกัน ภายใต้นโยบายด้านความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

ทั้งนี้ นายปานปรีย์​ ยืนยันว่า​ ไม่ได้ทำเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ทำเพื่อประชาชนชาวเมียนมาที่ได้รับผลกระทบ และสิ่งที่ทำก็อยู่ภายใต้ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน​ และขอยืนยันว่าเป็นคนละเรื่องกับการตั้งศูนย์รับผู้ลี้ภัย แต่อย่างไรก็ตาม ไทยก็ได้มีการเตรียมความพร้อมหากมีกรณีที่เกิดเหตุความรุนแรง แต่กรณีนี้ เป็นเรื่องของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือมีปัญหาเรื่องสุขภาพ โดยจะเป็นลักษณะ​ที่อยู่อาศัยเป็นการชั่วคราว และอยู่ในฝั่งของเมียนมาและย้ำว่า​ สิ่งที่ไทยดำเนินการ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของฉันทางมติ 5 ข้อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยข้อนี้ถือเป็นข้อแรกที่สามารถทำได้ก่อน​

“วันนี้เราต้องมีจุดเริ่มต้นที่ใดที่หนึ่ง ถ้าเราไม่เริ่มต้นจากรัฐบาลเมียนมา ถ้าเราไปเริ่มต้นกับคนอื่นในที่สุดเราก็ต้องกลับมาพูดคุยกับรัฐบาลอยู่ดี วันนี้เราก็เลยต้องเริ่มต้นจากรัฐบาล และปัญหาภายในของเมียนมา เขาก็พยายามจะแก้ไขด้วยตัวเขาเอง เราจะเข้าไปแทรกแซงกิจการภายใน เป้าหมายของเราคือการที่จะเข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่จะเลือกพูดคุยกับใคร หรือสนับสนุนใคร แต่เราสนับสนุนช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในจากสถานการณ์​ที่เกิดขึ้นในเมียนมา” นายปานปรีย์ กล่าว


ส่วนที่มีข้อกังวลถึงการประสานเบื้องต้นกับสภากาชาดของเมียนมา นายปานปรีย์​ กล่าวว่า​ ขออย่ากังวล​ การทำงานจะต้องมีจุดเริ่มต้น​ เมื่อเริ่มต้นมาถึงจุดนี้แล้ว​ ก็จะต้องนำสภากาชาดของประเทศไทย​และเชื่อว่าทุกคนให้การยอมรับ​ แต่มีข้อสงสัยว่าสภากาชาดของเมียนมานั้นเป็นกลางหรือไม่​ ได้มีการร้องขอให้ AHA Center​ และกาชาดสากลรับปากจะเข้ามา ซึ่งหน่วยงานกลางของอาเซียนเข้าสังเกตการณ์​ด้วย เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับทุกฝ่ายว่าการลำเลียงสิ่งของ​ โดยยืนยันไม่มีเรื่องการเมือง แต่เป็นการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนที่มีใครเป็นกังวลหรือไม่ตนชื่อว่ากาชาดของเมียนมามีเจตนาที่จะช่วยเหลือประชาชนเช่นเดียวกัน

ส่วนการแจกจ่ายสิ่งของช่วยเหลือ​ นายปานปรีย์​ กล่าวว่า​ สิ่งของที่จะนำไปช่วยเหลือในเบื้องต้น กับกลุ่มคนประมาณ 20,000 คนจะต้องมีการ สังเกตการว่า มีการแจกจ่ายทั่วถึงหรือไม่ มีปัญหาตรงไหนก็ต้องนำกลับมาแก้ไข ซึ่งวันนี้จะให้ทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ 100% คงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมาวุ่นวายมาก ต่างคนต่างไม่มีใครยอมใคร ดังนั้นจึงต้องทำตรงนี้ให้เป็นขั้นตอน ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าน่าจะเรียบร้อยดีที่สุด​ พร้อมย้ำว่า ตรงนี้เป็นจุดแรกค่ะประสบความสำเร็จ ได้รับความสนับสนุนจากทุกฝ่าย ก็เชื่อว่าจะขยายยังจุดอื่นต่อไป ซึ่งจากการที่ไปร่วมการประชุมทั้งในอาเซียน​ EU และอาเซียนอินโดแปซิฟิก ก็ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้​ ซึ่ง​ EU ยืนยันว่าหากศูนย์นี้เกิดก็พร้อมให้การสนับสนุนในวงเงินที่สูงมาก ถึง 20 ล้านยูโร​

ขณะที่ในวันพรุ่งนี้นายปานปรีย์​ จะพบปะผู้ประกอบการรายย่อยที่ริมเมย สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่​ 1 ข้ามแม่น้ำเมย​ -​ ตองยิน

ขณะที่นายคมกฤช จองบุญวัฒนา​ ผอ.กองเอเชียตะวันออก กรมเอเชียตะวันออกบรรยาสรุป​ถึงขั้นตอนด่านศุลกากรด่านแม่สอด​ มีข้อริเริ่มในการยกระดับการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม​แก่ประชาชนเมียนมาตามแนวชายแดนไทย​ -​ เมียนมา จากอำเภอแม่สอด​ จังหวัดตาก​ ไปยังรัฐกระเหรี่ยงประเทศเมียนมา​ โดยเริ่มต้นจากด่านศุลกากรแม่สอดแห่งที่ 2 ผ่านด่านแม่สอดเมียวดี​ สะพานมิตรภาพไทย- เมียนมา​ แห่งที่ 2 ไปยังพื้นที่ที่มีผู้ผลัดถิ่น​ โดยสภากาชาดไทยเป็นผู้ส่งมอบไปยังสภากาชาดเมียนมา​ ซึ่งก่อนหน้านี้มีการประชุมในวันที่​ 19 มกราคมที่ผ่านมา​ โดยส่งของที่ส่งมอบส่วนใหญ่เป็นข้าวสารอาหารแห้ง​ โดยพื้นที่ส่งมอบเป็นพื้นที่นำร่อง​ 3 หมู่บ้านในรัฐกระเหรี่ยง​ ซึ้งมีจำนวนประชากรประมาณ​ 20,000คน ขณะนี้ทางกระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างโอนงบไปสภากาชาด​ ใช้เวลา​ประมาณ​ 30 วัน​ ในการจัดหาสิ่งของก่อนนัดวันส่งมอบ​ โดยจะต้องผ่านพิธีศุลกากร​ เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งอื่นปะปน​ เพื่อความ​โปร่งใส​ โดยมีตัวแทนจากทั้ง​ 2 ประเทศร่วม​ สังเกตการณ์​ โดยระหว่างนี้​ได้มีการเจรจา​ใน​ 2 ประเด็นกับทางเมียนมา ทั้งเรื่องความปลอดภัย​ ซึ่งเมียนมาต้องมีพื้นที่คุยในพื้นที่ให้เปิดทางไม่ให้กระทบกับการขนส่ง​ สร้างความน่าเชื่อถือของกระบวนการนำ​ ศูนย์ประสานงานอาเซียนเพื่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Coordinating Centre for Humanitarian Assistance on disaster management: AHA Centre) ร่วมสังเกตการณ์​ โดยทางเมียนมาใช้พื้นที่ที่มีความเป็นกลางไม่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล​ ซึ่งทางเมียนมาเข้าใจ​ และเตรียมจัดหาพื้นที่พักรอเพื่อแจกจ่าย​ นอกจากนี้ในกระบวนการแจกจ่ายให้หัวหน้าชุมชนเจ้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะถึงกลุ่มจริงๆ​ .-312 สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]