รัฐสภา 7 ธ.ค.- “อัจฉริยะ” ยื่น “รังสิมันต์” สอบ “หมูเถื่อน-ส่งออกตีนไก่-เคลมภาษีน้ำมัน” ยันเอาผิดระดับผู้ใหญ่ได้ เผย จนท. สารภาพหมดแล้ว ด้าน “รังสิมันต์”เชื่อ สาวถึงตัวใหญ่ได้ไม่ยาก ย้อนถามอยากจบปัญหาจริง หรือจบแบบตัดตอน สะท้อนความหย่อนยานของ กม.
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ยื่นหนังสือให้นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ตรวจสอบใน 3 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต ได้แก่ การลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน โดยมีข้าราชการระดับกรม 3 กรมเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะโยงไปถึงนักการเมืองบางคน โดยถือว่าคืบหน้าไปมาก และการสวมสิทธิ์ส่งออกตีนไก่ไปยังประเทศจีน ซึ่งเกี่ยวพันกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงการส่งออกน้ำมันไปยังเมียนมาและวนกลับมาจำหน่ายในประเทศไทย โดยมีการขอคืนภาษีแบบผิดกฎหมาย 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกระทำมาแล้ว 6 ปี เรื่องนี้กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ ทั้งผู้ประกอบการและเกษตรกร ประเมินมูลค่าความเสียหายเป็นแสนล้านบาท
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า หลักฐานที่นำมาในวันนี้ เป็นหลักฐานเบื้องต้น แต่หากวันที่กรรมาธิการเรียกชี้แจง ตนจะมีตัวบุคคลที่รับเงินใต้โต๊ะตั้งแต่ระดับล่างจนถึงอธิบดี และเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรี ซึ่งตนได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งหลักฐานเรื่องหมูเถื่อนและตีนไก่
ส่วนมั่นใจว่าสามารถเอาผิดใครได้บ้าง นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ถ้าเอาแบบจริงจัง ไม่มีเกรงใจกัน ก็ถึงกันหมดทุกคน เพราะหลักฐานทิ้งร่องรอยด้วยเอกสาร
“คนทำชิปปิ้งก็ให้การรับสารภาพแล้ว รวมถึงมีเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ กรมประมง และกรมศุลกากรก็ให้การซักทอดไปถึงผู้ใหญ่หมดแล้ว ขณะนี้มีครบแล้ว”นายอัจฉริยะ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เบื้องต้นต้องยอมรับว่าเรื่องหมูเถื่อนเป็นเรื่องที่ใหญ่ แต่ไม่ได้มีแค่การลักลอบนำเข้ามาแบบผิดกฎหมายเท่านั้น ยังส่งผลกระทบถึงการบังคับใช้กฎหมาย หากเราไม่เอาผิดทางกฎหมาย จะไม่มีทางรู้ว่าสินค้าทางการเกษตรที่เข้ามาสู่ไทยจะมีคุณภาพหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนไทยหรือไม่ ยังไม่นับว่าอาจจะมีคนที่เกี่ยวข้องที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่บ้านเมือง เป็นคนสำคัญของบ้านเมือง เป็นคนที่มีชื่อเสียงของบ้านเมือง อาจจะเข้าไปเกี่ยวข้องอีกด้วย นอกจากนั้น ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าเกษตรราคาหมูในประเทศที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรต่อไป
“เรื่องหมูเถื่อนจึงไม่ใช่แค่หมูเถื่อน แต่หมายความรวมถึงความหย่อนยานทางกฎหมาย ปัญหาทางสุขภาพ ปัญหาที่เกษตรกรอาจจะได้รับและอื่นๆ อีกมากมาย เพราะฉะนั้นตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคง จะเอาเรื่องนี้เข้าหารือในกรรมาธิการ เพื่อที่จะได้มีการประชุมและจะพิจารณากันต่อไปว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ขอบเขตของ กมธ.ความมั่นคงฯ ค่อนข้างกว้าง ครอบคลุมหลายเรื่อง สามารถพิจารณาประเด็นเรื่องยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเรื่องหมูเถื่อน เมื่อพิจารณาแล้วอยู่ในส่วนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศหรืออาจจะกระทบกระเทือนต่อกฎหมายเหล่านี้ เราก็สามารถที่จะบรรจุเข้าพิจารณาได้ แต่ตนก็ไม่สามารถตอบได้ว่าจะเข้าในขอบเขตไหนบ้าง จึงขอไปพิจารณา และปรึกษากันในกรรมาธิการก่อน
ส่วนกระบวนการการตรวจสอบหมูเถื่อนนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้ค้างมาเป็นเวลานาน ซึ่งความจริงตนก็คิดคล้ายๆ กับนายอัจฉริยะ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากและน่าจะสาวไปถึงตัวการคนสำคัญได้หมด
“คำถามอยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ และแปลกใจว่าทำไมถึงยื้อกันนานขนาดนี้ ถ้าเรื่องไปถึงระดับดีเอสไอ และความพยายามแสดงออกของฝ่ายต่างๆ เรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว ถ้ามาถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถดำเนินการจัดการกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้ ระบบกฎหมายของเราจะมีใครเชื่อถือ ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่การสาวคนที่เกี่ยวข้อง แต่เราต้องมานั่งคิดว่ามีเจ้าหน้าที่ใครบ้างที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เราจะสามารถป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก และก็จะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ใช่แค่หมูเถื่อน ยังมีเรื่องตีนไก่ด้วย ก็ต้องตรวจสอบต่อไป ว่าจะมีใคร ที่จะเกี่ยวข้องกับกรณีนี้บ้าง ซึ่งเรื่องตีนไก่ ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด จึงขอศึกษาและพูดคุยกับกรรมาธิการ เพื่อหาข้อสรุปก่อน”นายรังสิมัตน์ กล่าว
ส่วนในช่วงปีที่แล้วที่มีการระบาดของโรคอหิวาตกโรคในหมู แล้วรัฐปิดบังประชาชนทำให้การตรวจสอบหมูเถื่อนยืดเยื้อนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หลักการสำคัญคือต้องให้ทำให้ประชาชนมีข้อมูล ประชาชนจึงสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นและรับมือและขั้นตอนต่อไปได้หากเกิดเหตุแบบนี้ แต่ปัญหาคือในช่วงเวลาที่มีโรคระบาด ประชาชนไม่รู้ว่าเจอกับอะไรและต้องรับมืออย่างไร ไม่ได้มีแผนสำรอง มาตรการภาครัฐก็ไม่ชัดเจน
“กระบวนการเหล่านี้เหมือนปล่อยให้ประชาชนที่เป็นเกษตรกรอยู่บนเรือ แล้วปล่อยให้อยู่กลางทะเล จะอยู่อย่างไร จะไปรอดหรือเปล่า ไม่มีทางรู้ ดังนั้น สิ่งสำคัญเมื่อเกิดปัญหาที่เป็นวิกฤตภาครัฐมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความจริงกับประชาชน อย่าไปกังวลว่าถ้าให้ข้อมูลไปแล้วจะมีผลกระทบในลักษณะที่มีความกังวลหรือไม่ เดี๋ยวจะมีผลกระทบต่อตลาดหรือไม่ บางครั้งหากมีวิกฤตเกิดขึ้น อย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่ทราบ ถ้าเราให้ข้อมูลกับประชาชน การเตรียมตัวต่างๆ ประชาชนก็จะได้รับมือได้ นี่คือสิ่งที่ตนคิดว่าสำคัญและเป็นบทเรียนของกระทรวงเกษตรฯ ในรอบที่แล้ว ในการแจ้งเตือนข้อมูลต่างๆให้ทางทันท่วงที” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนเรื่องนี้เกี่ยวพันกับนายทุน มองว่าการตรวจสอบจะสาวไปถึงหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ถ้าสุดท้ายผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ได้นำไปสู่การแก้ปัญหาจริงๆ คือการจัดการกับคนที่เรียกว่านายทุนหรือปลาตัวใหญ่ของเรื่องนี้ ถ้าไม่มีการจัดการไปถึงระดับนั้น สุดท้ายก็เป็นแค่การตัดตอน
“คำถามคือวันนี้เรื่องหมูเถื่อนจะจบแบบไหน จบแบบตัดตอน หรือสุดท้ายเป็นการแก้ปัญหาจริงๆ ที่จะนำไปสู่การทำให้การบังคับใช้กฎหมายของเราไม่หย่อนยานแบบที่ผ่านมา นี่คือสิ่งที่สำคัญ”นายรังสิมันต์ กล่าว.-318.-สำนักข่าวไทย