รัฐสภา 26 ต.ค.-“ศิริกัญญา” ชี้เงินดิจิทัลวอลเล็ตอาจถึงทางตัน เจอปัญหางบประมาณเป็นตอใหญ่ แนะทบทวนนโยบาย บอกความจริงที่มาของเงิน เชื่อประชาชนเข้าใจ
น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่จะมีการคัดกรองบุคคลที่จะได้รับเงิน ว่า ปัญหาสำคัญที่มีการปรับหลักเกณฑ์โดยที่มีการคัดกรองคนรวยออก ไม่ว่าจะบุคคลที่ได้รับเงินเดือน 25,000 บาท บุคคลที่ได้รับเงินเดือนเกิน 50,000 บาท และอีกหลักเกณฑ์ที่จะแจกเฉพาะผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลน่าจะมีปัญหาการเงินที่จะนำมาใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตแน่นอน เลยจำเป็นที่จะต้องทำให้คนที่ได้รับผลประโยชน์มีจำนวนลดลง ถึงแม้จะพยายามลดลงแล้ว แต่ก็ยังมีคนได้รับเงินตรงนี้อยู่ประมาณ 43-49 ล้านคน ถ้าเป็น 43 ล้านคนใช้งบประมาณ 430,000 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณปี 2567 ไม่พอในปีเดียว เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะใช้เงินงบประมาณประจำปี 2567 ก็มีค่อนข้างน้อยและมีข้อเสนอออกมาอีกว่าจะใช้เป็นงบผูกพัน ผูกพันปีละ 100,000 ล้านบาทไป 4 ปี ก็ยิ่งชัดเจนว่า หลังจากที่ได้คำนวณมาแล้ว แสดงว่างบประมาณปี 67 มีที่ว่างให้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เพียงแค่ 100,000 ล้านบาทเท่านั้น และในกรณีที่จำเป็นจะต้องผูกพันไปจนถึง 4 ปีก็เท่ากับว่าจะมีร้านค้าบางส่วนจะไม่ได้เงินสดทันที และต้องรอแลกเป็นรายรอบปีงบประมาณไป ซึ่งส่วนนี้จะกระทบกับร้านค้าที่อาจจะไม่มีแรงจูงใจมากพอ ที่ต้องการเงินสดมาหมุนเวียนในร้านค้าของตนเองจนไม่เข้าร่วมโครงการ
“จึงเป็นการตอกย้ำว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มาถึงทางตันแล้ว ไม่สามารถที่จะให้ธนาคารของรัฐหรือธนาคารออมสิน ดำเนินโครงการนี้ออกไปก่อนได้ เพราะติดข้อจำกัดหลักที่เป็นตอใหญ่ นั่นคือเรื่องของงบประมาณและที่มาของเงินที่จะต้องใช้ แต่การปรับเงื่อนไขในครั้งนี้ ต้องพิจารณาด้วยว่ายังคงทำตามวัตถุประสงค์ดั้งเดิมและผลที่คาดว่าจะได้รับดั้งเดิมของโครงการนี้หรือไม่ ถ้าเปลี่ยนไปหมดแล้วก็อาจจะต้องมีการทบทวนนโยบายใหม่ทั้งหมดด้วยซ้ำ” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า สำหรับการคัดกรองคนที่มีเงินเดือน 25,000 บาทและ ผู้ที่มีเงินฝากนั้น ความจริงแล้วลดจำนวนลงไปได้นิดเดียวเพียงแค่ 13 ล้านคน ถ้าเป็นคนที่มีเงินเดือน เกิน 50,000 บาท ก็ลดไปได้เพียงแค่ 7 ล้านคน ดังนั้นความจริงแล้วไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก ในแง่ของการที่จะประหยัดงบประมาณลง ซึ่งนี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงว่าจะทำอย่างไรกันต่อ
“แต่สุดท้ายแล้ว กลับไปที่ทางเลือกที่ 3 ที่ให้เฉพาะคนที่ได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็เขียนไว้ชัดเจนว่า อาจจะไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำไป อาจจะเป็นแค่การประคับประคองเยียวยาค่าครองชีพ ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยหรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแทน ซึ่งนี่เป็นการเริ่มที่จะเปลี่ยนรูปแบบของโครงการ เปลี่ยนวัตถุประสงค์เปลี่ยนคนที่จะได้รับไปอย่างชัดเจน ดังนั้นถ้าจะคงเพียงแค่รูปแบบว่าเป็นการแจกเงินเอาไว้ แต่วัตถุประสงค์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พูดไว้ ก็จำเป็นที่จะต้องทบทวน จนเข้าใจดีว่า นโยบายนี้เป็นนโยบายที่เพื่อไทยได้หาเสียงไว้ แต่ถ้าสามารถที่จะบอกกับ ประชาชนอย่างตรงไปตรงมาว่าติดปัญหาในเรื่องอะไร งบประมาณมีไม่พออย่างไร ตนคิดว่าประชาชนน่าจะเข้าใจได้ ว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะทำโครงการนี้ แต่มีอุปสรรคชิ้นใหญ่นั่นก็คืองบประมาณ”น.ส.ศิริกัญญา กล่าว
ส่วนโครงการนี้อาจจะถูกยกเลิกไปหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า เรียกว่าเปลี่ยนวิธีการมากกว่า อย่าเรียกว่ายกเลิก ตนเข้าใจดีว่า สัญญาทางใจที่มีไว้กับโหวตเตอร์หรือผู้สนับสนุนสำคัญ แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกันเรามีวิธีการที่จะไปได้หลายทาง
ส่วนสุดท้ายจะจบแค่เป็นโครงการเยียวยาหรือไม่นั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ต้องรอดู ตอนนี้งบประมาณที่ไปทบทวนกันของแต่ละหน่วยงานรัฐทำกันเสร็จแล้ว และเริ่มทยอยส่งกลับมายังสำนักงบประมาณแล้ว ดังนั้น สำนักงบประมาณมีข้อมูลอยู่ในมือ จะสามารถตัด ลด เกลี่ย งบประมาณ ของปี 67 ได้เท่าไหร่ แล้วปรากฏว่า ก็ได้แค่แสนล้าน
“ดังนั้น ถ้าจะไม่ทำงบประมาณผูกพันข้ามปีทางออกเดียว คือให้เฉพาะคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้น ก็จะไม่ใช่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกต่อไป เพียงแค่เยียวยาค่าครองชีพ จึงต้องบอกกับรัฐบาลว่าต้องมาทบทวนวัตถุประสงค์ของโครงการนี้อย่างจริงจัง อย่ายึดติดที่รูปแบบ ให้ดูที่เป้าหมายมากกว่าว่าผลลัพธ์เราอยากจะได้อะไร แล้วออกแบบนโยบายให้เป็นไปตามนั้นมากกว่า” นางสาวศิริกัญญา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องรอให้คณะกรรมการชุดใหญ่ มีมติออกมาก่อน ข่าวที่ออกมาเป็นเพียงความคิดเห็นของอนุกรรมการเท่านั้น เราก็ยังคงใจดีให้เวลารัฐบาลกลับไปคิดทบทวนลงรายละเอียดทุกอย่าง แล้วให้คณะกรรมการชุดใหญ่มีข้อเสนอ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีเข้ามา ก็จะได้ทำการตรวจสอบกันต่อไป ซึ่งหลายคณะกรรมาธิการ ตั้งท่ารอที่จะเรียกเข้าไปพูดคุยในรายละเอียดอยู่ กระทู้สดยังรออยู่แม้จะเป็นในช่วงปิดสมัยประชุม แต่เปิดมาเมื่อไหร่ก็คงจะได้พูดคุยกันเรื่องนี้แน่นอน พร้อมฝากให้สื่อสอบถามประชาชน รวมถึงร้านค้าว่าหากจะต้องทยอยจ่าย เป็นหลายปีงบประมาณ เงินสดจะไม่ได้ทันที ร้านค้ายังคงเข้าร่วมโครงการหรือไม่
ส่วนการคัดกรองของโครงการนี้สามารถทำได้จริงหรือไม่นั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ตนไม่อยากให้สับสนกับเรื่องนี้เพราะปัญหาใหญ่ คือเรื่องของงบประมาณมากกว่าส่วนเรื่องหลักเกณฑ์ ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์เดียวกับคนที่จะได้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คือดูรายได้จากการยื่นสรรพากร และดูทรัพย์สินจากธนาคารพาณิชย์ โดยแจ้งผ่านไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ว่ามีเงินฝากเท่าไหร่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่น่าจะยาก แต่แน่นอนว่าจะมีความผิดพลาดในเรื่องของอาจจะมีคนที่มีรายได้มาก แต่ไม่ได้ยื่นสรรพากร มีสินทรัพย์อย่างอื่น แต่ไม่ได้มีเงินฝาก
ส่วนที่มีการหารือกับธนาคารกรุงไทยไม่ใช่ธนาคารออมสินนั้น ส่วนตัวมองว่า น่าจะหารือกับธนาคารกรุงไทยเกี่ยวกับแอปพลิเคชั่นมากกว่า เพราะกรุงไทย มีประสบการณ์ในการทำแอปฯเป๋าตังค์มา ซึ่งการหารือกับออมสินก็เป็นไปไม่ได้เพราะติดข้อกฎหมาย ไม่มีข้อไหนที่จะทำให้ดำเนินการแจกเงินได้เลยแม้แต่ข้อเดียว ถ้ายังคงใช้ธนาคารออมสินอยู่ก็จะต้องมาแก้ไขกฎหมายและต้องผ่านสภา
เมื่อถามว่าหากทางออกสุดท้ายของรัฐบาลอาจจะต้องใช้พ.ร.ก.เพื่อดำเนินโครงการนี้นั้น น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ในทางเทคนิค ทางออกสุดท้ายคือการ ออกพ.ร.ก.เงินกู้ เหมือนกับช่วงโควิดที่ให้กระทรวงการคลังกู้เงินเป็นทางออกทางเทคนิคที่ง่ายที่สุด แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจนว่าพ.ร.ก.จะออกได้จะต้องมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น แต่ก็ต้องถามสำนักบริหารหนี้ว่าจะยอมกู้ให้หรือไม่ ในกรณีที่ไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนและเสี่ยงต่อการขัดรัฐธรรมนูญ และในทางการเมือง ก็ต้องยอมรับว่าการจะออกพ.ร.ก. เงินกู้ ณ เวลานี้ ที่ไม่ได้ เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหนักขนาดนั้น ต้องเจอแรงต้านมหาศาลแน่นอน ตนก็ขอเตือนไว้ว่าถ้าออกเป็นพ.ร.ก. เงินกู้เมื่อไหร่ อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายทางการเมืองได้.-สำนักข่าวไทย