รัฐสภา 5 ต.ค.- ก้าวไกล ถือฤกษ์ก่อน 6 ตุลาฯ ยื่นร่างนิรโทษกรรมทางการเมืองตั้งแต่ชุมนุมพันธมิตรปี 49 เหมารวมคดี ม.112 วอนพรรคการเมืองหนุน ชี้ เป็นจุดเริ่มต้นความปรองดอง เทียบคดี 6 ตุลาฯ หนักกว่า ยังนิรโทษกรรมให้
นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมส.ส.พรรคก้าวไกล ยื่นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมืองฯ ต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวถายหลังรับหนังสือว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับนายชัยธวัชที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคและจะได้ทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนทุกคนต่อไป สำหรับร่างพ.ร.บ.บุคคลซึ่งกระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง จะได้ให้ฝ่ายเลขาธิการได้ลงหมายเลขรับ และ พิจารณาให้ดำเนินการไปตามกฎหมายและข้อบังคับและจะแจ้งให้ผู้ยื่นได้ทราบโดยเร็ว ภายใน 7 วัน
นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ด้วยเหตุผลมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้ออย่างต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 11 ก.พ. 2549 และลุกลามบานปลายจนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และต่อมาก็ยังมีการรัฐประหารซ้ำอีกครั้งเมื่อปี 2557 และตลอดระยะเวลาของการชุมนุมนับตั้งแต่ครั้งแรก สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าไปมีส่วนร่วมในการชุมนุม หรือการแสดงออกในทางการเมืองในรูปแบบต่างๆ และ
“ตลอดระยะเวลามีประชาชนนับ 1,000 คน ถูกดำเนินคดี ตั้งแต่คดีเล็กๆน้อยๆ จนถึงข้อกล่าวหาร้ายแรง รวมถึงคดีความมั่นคง และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการยุติในการดำเนินคดี ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวพรรคก้าวไกลเห็นว่า ทำให้ยากที่จะนำคนไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติสุข เกิดความสามัคคีกันในสังคม เพราะพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ที่ได้ถูกดำเนินคดีหรือมีส่วนร่วมทางการเมือง ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนต่างก็มีความเห็นว่า รัฐไม่มีความเคารพต่อสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพของพลเมือง จึงเห็นว่าถึงเวลาที่จะต้องยุตินิติสงครามและการนิรโทษกรรมจะเป็นหนทางที่ ถอดฟืนออกจากกองไฟ เป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นสร้างความยุติธรรมและความปรองดองที่ยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป” นายชัยธวัช กล่าว
สำหรับสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ นั้น นายชัยธวัช กล่าวว่า ได้กำหนดให้การกระทำใดๆ ของบุคคลผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง ตลอดจนการกระทำทางกายภาพ หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ที่เป็นความผิดตามกฎหมายในช่วงเวลาที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549 คือนับวันแรกของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนถึงวันที่พ.ร.บ.นี้ได้มีผลบังคับใช้ หากการกระทำดังกล่าว มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิด และความรับผิดโดยสิ้นเชิงทั้งนี้ ต้องมิให้ขัดกับพันธะกรณีทางกฎหมายระหว่างประเทศ
“ขณะที่การนิรโทษกรรมนี้จะไม่ครอบคลุมถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม หากเป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ ตลอดจนจะไม่นิรโทษกรรมการทำความผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา และจะไม่นิรโทษกรรมการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ส่วนจะรวมคดีมาตรา 112 หรือไม่ อยู่ในการวินิจฉัยของคณะกรรมการ โดยกลไกในการนิรโทษกรรมจะกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิด เพื่อการนิรโทษกรรม” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้ ในร่างเสนอให้มีจำนวน 9 คน ซึ่งประธานรัฐสภาจะเป็นผู้แต่งตั้ง โดยมีองค์ประกอบจากประธานสภาผู้ฯ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ บุคคลที่ได้รับเลือกจากคณะรัฐมนตรี คคลที่สภาผู้แทนราษฎรเลือกอีก 2 คน ผู้พิพากษา อดีตผู้พิพากษาในศาลยุติธรรมของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ตุลาการหรืออดีตศาลปกครอง 1 คน คณะกรรมการอัยการ 1 คนและสุดท้าย เลขาธิการสภาฯ
นายชัยธวัช กล่าวว่า พรรคก้าวไกลย้ำว่าการเสนอร่างในครั้งนี้ มุ่งหวังให้เป็นกฎหมายสำคัญสำหรับการคืนชีวิตใหม่ให้กับพี่น้องประชาชนที่โดนนิติสงคราม หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองแสดงออกทางการเมืองใดๆ และถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ไปชุมนุมโดยสันติ
“เชื่อว่าการนิรโทษกรรมนี้เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ หากพรรคการเมืองร่วมกันผลักดัน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคการเมืองต่างไม่ได้ปฏิเสธ จึงจะใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยกับพรรคการเมืองทุกฝ่าย รวมถึงพี่น้องประชาชนทุกฝ่าย ทุกสี ที่มีความขัดแย้งกันในอดีตให้สำเร็จให้ได้ ซึ่งเชื่อว่าแม้เราอาจจะไม่ได้มีความเห็นทางการเมืองตรงกลางทั้งหมด แต่ก็เชื่อว่า ทุกฝ่ายที่มาแสดงออกทางการเมือง ยืนอยู่บนพื้นฐานความคิดความเชื่อที่ทำให้การเมืองดี ดังนั้นการยุติการต่อสู้การดำเนินคดี ไม่ว่าฝ่ายไหน จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ใช้กระบวนการที่สันติแสวงหาฉันตามมาติที่เป็นที่ยอมรับ และเชื่อว่าภายหลังการพูดคุยพรรคการเมืองต่างๆอาจจะมีร่างกฎหมายลักษณะเดียวกันมาประกบ” นายชัยธวัช กล่าว
นายชัยธวัช กล่าวว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับพรรคการเมืองต่างๆ แล้วรวมถึงพรรคเพื่อไทย ที่อาจจะไม่เสนอร่าง แต่มีท่าทีสนับสนุน และตนได้ขอให้มาคุยเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการ ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการพูดคุยเรื่องนี้กับสว.ไว้บ้างแล้ว ตั้งแต่ปลายสมัยประชุมทที่แล้ว ซึ่งคิดว่าน่าจะสานต่อ และหวังว่า ถ้าได้คุยกับพรรคการเมืองต่างๆ ทุกพรรค โดยเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ในฝากรัฐบาล ก็ไม่ได้มีอะไรที่ติดขัด โดยต่างเห็นประโยชน์และความจำเป็น ต่อสถานการณ์ทางการเมือง เพราะรัฐบาลก็ได้แถลงว่าการจัดตั้งรัฐบาลมีเป้าหมายเรื่องความปรองดอง
“ตนคิดว่าความปรองดองจะสำเร็จขึ้นได้ เงื่อนไขสำคัญคือความยุติธรรม ให้กับพี่น้องประชาชน ด้วยการนิรโทษกรรมทางการเมือง แม้หลายกรณีอาจจะมองว่าคนที่ถูกกล่าวหามีความผิดจริง แต่เราต้องยอมรับว่า เป็นการกระทำผิดที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ซึ่งคิดว่าหากเรามาเริ่มต้นกันใหม่ คืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องประชาชน ยุติคดีความที่เป็นเงื่อนไขให้คนที่เห็นต่างกัน มีพื้นที่ได้กลับมาคุยกัน โดยกระบวนการทางประชาธิปไตย แบบนี้ถือเป็นก้าวแรกที่จะสร้างความปรองดองได้” นายชัยธวัช กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะกังวลว่า คดีความที่ร้ายแรงต่างๆ เหมาะที่จะนิรโทษกรรมหรือไม่ ตนอยากจะย้ำเตือนว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่ 6 ตุลาคม ซึ่งเหตุการณ์นี้ ที่รัฐบาลได้ทำให้เป็นเงื่อนไขสำคัญ จนนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง คือการนิรโทษกรรมเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2521 รวมถึงการออกคำสั่ง 66/23 ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์นี้ล้วนแต่เป็นโทษร้ายแรงทั้งสิ้น โดยเฉพาะ 66/23 เป็นการนิรโทษกรรมให้กับคนที่ใช้อาวุธลุกขึ้นสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และมีส่วนทำให้เจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตจำนวนมาก เรายังสามารถเปิดให้กับคนที่กระทำผิดร้ายแรงเข้าสู่สังคมและพูดคุย และร่วมใช้ชีวิตปกติในสังคมอีกครั้ง และวันนี้ ที่เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เพราะตั้งใจเพราะพรุ่งนี้เป็นวันที่ 6 ตุลาคม จึงหวังว่าพรรคการเมืองจะให้ความสนใจและเห็นประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งถ้าเห็นพ้องก็อาจจะเสนอเลื่อนขึ้นมาพิจารณาเร็วขึ้น เมื่อถามย้ำว่าจะนิรโทษกรรมให้กับคดี 112 ด้วยใช่หรือไม่
นายชัยธวัช กล่าวว่า ตอนที่นิรโทษกรรมให้กับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ก็เป็นเรื่องความผิดมาตรา 112 เป็นหลัก และยังมีคดีกบฏ ล้มล้างการปกครอง และเปิดให้คนที่เข้าร่วมต่อสู้ด้วยอาวุธ เราสามารถที่จะอภัย เพื่อทำให้การเมืองไทยเดินหน้าไปได้ จึงคิดว่าหากไม่มีอคติจนเกินไป ทุกฝ่ายควรจะร่วมกัน เพราะรู้สึกเสียดายที่คณะกรรมการสมานฉันท์ ตั้งโดยนายชวน หลีกภัย ทำรายงานเสร็จแล้ว แต่เสร็จในปลายสมัย จึงไม่มีโอกาสนำเสนอในสภา ซึ่งคณะกรรมการสมานฉันท์ชุดต่างๆ ก็มีข้อเสนอในลักษณะนี้ ในเรื่อง ของนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง-สำนักข่าวไทย