พรรคภูมิใจไทย 3 พ.ค.-นายทะเบียนภูมิใจไทยแจงหลังถูกบิดเรื่องกม.กัญชา เดินหน้าร้องกกต. สอบ “เศรษฐา-ประเสริฐ” ปราศรัยใส่ร้าย พูดเท็จ ชี้โทษ สูงสุดอาจถึงขั้นยุบพรรค เย้ย “เศรษฐา” แค่ตัวแสดง ไม่มีอำนาจตัดสินใจในพรรค ถ้าสอบตกก็กลับไปขายบ้านต่อ
นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงกรณีนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวปราศรัยในลักษณะใส่ร้ายด้วยข้อความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดถึงคะแนนความนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย ในประเด็นเรื่องกัญชา โดยกล่าวหาว่าพรรคภูมิใจไทยปล่อยให้มีกัญชาเสรีและมอมเมาเยาวชน ซึ่งการใส่ร้ายดังกล่าวเป็นความเท็จ และขอยืนยันว่าการปลดล็อกกัญชาเป็นการลงมติเห็นชอบเอกฉันท์ของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยส.ส.และส.ว.
“การลงมติเห็นชอบปลดล็อกดังกล่าว สมาชิกพรรคเพื่อไทยได้ลงมติเห็นชอบด้วย และการออกประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นการออกประกาศตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด ไม่ได้ทำตามอำเภอใจ หรือปล่อยปละละเลย การปลดล็อกกัญชามีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 แล้ว พรรคเพื่อไทยไม่เคยคัดค้านเลย อีกทั้งพรรคภูมิใจไทยเห็นว่าประเทศไทยควรมีกฎหมายออกมาควบคุมกัญชาในการใช้ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ จึงเสนอร่างกฎหมายกัญชา กัญชงเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร แต่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ผ่านความเห็นชอบ เพราะส.ส.พรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นดึงเกมให้การพิจารณาร่างกฏหมายไม่แล้วเสร็จ” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวว่า การที่นายเศรษฐาปราศรัย เป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย อันเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 73 ซึ่งได้กำหนดไว้ว่าห้ามผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตน หรืองดเว้น หรือการลงคะแนนให้ผู้สมัคร หรือการชักชวนให้ไปลงคะแนนไม่เลือกผู้ใด เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยวิธีการดังต่อไปนี้ คือ (5) หลอกลวงบังคับขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม ของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง
“สถานะของนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย แต่เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการบริหารของพรรค ที่จะต้องมีหน้าที่ในการควบคุมและกำกับดูแล ไม่ให้สมาชิกกระทำการที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญต่อทั้งระเบียบประกาศและคำสั่ง ซึ่งการที่นายเศรษฐาปราศรัยว่าถ้าเลือกพรรคภูมิใจไทยจะได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เพราะความจริง พรรคภูมิใจไทยได้ประกาศมาโดยตลอดว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีมาตลอด” นายศุภชัย กล่าว
นายศุภชัย กล่าวว่า ขณะนี้มีสมาชิกพรรค ซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำดังกล่าวได้ไปดำเนินการทางคดีแล้ว เช่น นายศุภชัย โพธิ์สุ ร้องต่อกกต.จังหวัด ต่อกรณีที่นายเศรษฐา ปราศรัยว่าหากเลือกนายศุภชัยและพรรคภูมิใจไทย จะนำเสรีกัญชามามอมเมาเยาวชนชาวนครพนม อีกทั้งการที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค เพื่อไทย ออกมากล่าวในลักษณะใส่ร้ายอันเป็นเท็จ ยืนยันว่าพรรคจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องการถูกใส่ร้าย และนายเศรษฐาต้องพร้อมรับผลสิ่งที่พูด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่มีวุฒิภาวะ ยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่ยอมเรื่องนี้แน่นอน
นายศุภชัย กล่าวว่า ตามมาตรา 101 ของพระราชบัญญัติพรรคการเมืองบัญญัติว่า ผู้ใดแจ้งหรือกล่าวหาพรรคการเมืองหรือบุคคลใด ว่ากระทำผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ โดยรู้ว่าเป็นความเท็จ มี โทษต้องระวาง จำคุกไม่เกินห้าปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็นพรรคการเมือง ซึ่งรวมถึงกรรมการบริหารพรรค ต้องระวางโทษเป็นสองเท่า ของโทษที่กำหนดไว้ และให้คณะกรรมการส่งเรื่อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นและเพิกถอนสิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง ของหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคการเมือง” นายศุภชัย กล่าว
ส่วนการดำเนินการดังกล่าว จะเป็นข้อกดดันในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า พรรคไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคการเมืองอื่น ดังนั้น ขอให้นายเศรษฐาทบทวนการกระทำ และเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยประกาศยืนยันให้ชัดเจนเลยว่า หากเห็นว่ากัญชามีปัญหา จะดำเนินการให้กัญชากลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิม พร้อมฝากถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ดำเนินการตามหน้าที่ของทีมงานสืบสวนสอบสวน โดยไม่ต้องรอให้มีผู้มาร้องเรียน ทั้งเรื่องการปราศรัยโจมตี และความพยายามของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ป่วนเวทีปราศรัยของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งทางพรรคได้ยื่นให้ตรวจสอบมาหลายครั้งแล้ว เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ส่วนกรณีนายเศรษฐาตั้งกำแพง ไม่เอาพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และไม่เอาพรรคกัญชา ถ้าหลังเลือกตั้ง ไม่เป็นไปตามนี้ นายเศรษฐาต้องรับผิดชอบหรือไม่ นายศุภชัย กล่าวว่า ไม่คิดว่านายเศรษฐาจะมีอำนาจตัดสินใจ นายเศรษฐาเป็นเพียงตัวแสดงคนหนึ่งแค่นั้นเอง
“ท่านมา ท่านก็ช็อปปิ้งตำแหน่งนายกฯ ถ้าไม่ได้ก็กลับไปขายบ้านจัดสรรเหมือนเดิม แต่ดูแล้วท่านก็คงประเมินอยู่ ท่านก็มีโอกาสพูดบนเวที แต่ในเชิงการเมืองท่านต้องไปเรียนรู้ ท่านอาจจะมีความสามารถเรื่องการบริหารธุรกิจ แต่ในเชิงการเมืองท่านต้องเรียนรู้มากกว่านี้” นายศุภชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย