อสมท. 8 ธ.ค.-นักวิชาการมองนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาท ของเพื่อไทยทำได้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไปแบบขั้นบันได ไม่ใช่ปรับทันที ระบุ ทุกพรรคการเมืองควรคิดทำนโยบายให้ประชาชนเปรียบเทียบ อย่ามุ่งดิสเครดิตทางการเมือง
นายวันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยมีนโยบายขึ้นค่าแรง 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้ที่ศึกษาจบปริญญาตรี เริ่มต้นที่ 25,000 บาท โดยจะทำให้ได้ภายในปี 2570 ว่า เรื่องการขึ้นค่าแรงต้องเป็นลักษณะขั้นบันได ไม่ใช่ทันทีทันใด ไม่เช่นนั้นผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
“ผมมองว่าพรรคเพื่อไทยกำลังเล่นกับความเชื่อของผู้คนในสังคม ว่าที่ผ่านมานโยบายฟื้นฟูกระตุ้นเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าพรรคการเมืองอื่นประกอบกับผลกระทบจากโควิด -19 ภาวะการตกงานตลอด 8 ปี รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงนำมาสู่ข้อเสนอใหม่ให้กับคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ให้เกิดความรู้สึกดึงดูดใจ ซึ่งเป็นจิตวิทยาทางสังคม” นายวันวิชิต กล่าว
นายวันวิชิต กล่าวว่า การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำควรเป็นแบบขั้นบันไดค่อยเป็นค่อยไป และถ้าเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต ก็มีทิศทางที่ทำได้ เหล่านี้ถือเป็นแท็กติกทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาก็มีพรรคการเมืองอย่างพรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายค่าครองชีพ ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ในการเลือกตั้งปี 2562 แต่ทำไม่ได้ ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่าเขาทำได้ ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง
นายวันวิชิต กล่าวถึงนโยบายเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ว่า ทุกวันนี้ภาครัฐอาจได้รับผลกระทบ แต่ผู้ประกอบการภาคเอกชนผู้ประกอบการไม่ได้จ่ายเงินตรงตามวุฒิการศึกษาเท่าใดนัก บางแห่งเป็นลักษณะการประเมินหรือดูตามศักยภาพของเนื้องาน บริษัทมีการปรับตัว บางที่ได้รับเงินเดือนสูง แต่เป็นระบบประเมินคุณภาพแล้วต่อสัญญา ซึ่งหลายบริษัทใช้วิธีแบบนี้มาตลอด เพียงแต่เราจับความรู้สึกว่านโยบายนี้ทำให้ฐานเงินเดือนขึ้นทั้งระบบในรูปแบบหน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจมากกว่า เพราะภาคเอกชนปรับตัวมานานแล้ว เงินเดือน 25,000 บาทผู้ประกอบการสามารถสร้างอำนาจต่อรองได้ ส่วนตัวลูกจ้างก็ต้องพัฒนาความสามารถ เพื่อให้ตอบโจทย์ความคุ้มค่าต่อเงินเดือน 25,000 บาท แต่ไม่สามารถใช้ได้กับทุกงาน
ส่วนนโยบายลักษณะนี้ซึ่งจะเป็นภาระให้กับผู้ประกอบการ ภาคเอกชน เกี่ยวกับเทคนิคชั้นเชิงทางการเมืองหรือไม่ นายวันวิชิต กล่าวว่า แน่นอน เพราะเป็นการนำให้คนคิดและเชื่อว่าจะนำไปสู่ผลกระทบจากงบประมาณ แล้วจะเอาเงินมาจากไหน แต่หากมองกลับไปว่าทำไมพรรคการเมืองนำมาใช้เพื่อแข่งขัน
“แทนที่จะมาจ้องโจมตี ดิสเครดิตหรือหักล้างนโยบายของคู่แข่งทางการเมือง ควรหานโยบายการหาเสียงเพิ่มขึ้น เพื่อนำไปสู่การเปรียบเทียบให้ประชาชนได้มันก็เป็นเรื่องตลกที่ฝ่ายการเมืองไปเห็นใจผู้ประกอบการ แทนที่จะเห็นใจผู้ใช้แรงงานมากกว่า ซึ่งนโยบายนี้จะเป็นไปได้หรือขายฝัน ก็ควรขึ้นค่าแรงแบบขั้นบันได และบางทีมีคนไปปั่นว่า หากพรรคเพื่อไทยชนะ ก็จะทวงถาม 600 บาท ทั้งที่ความเป็นจริงการขึ้นค่าแรงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป จึงต้องระวังว่าจะกลายเป็นกับดักทางการเมืองสำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารหรือนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และต้องระวังไม่ให้พื้นที่ทางการเมืองมาควบคุมความไม่เข้าใจของคนได้อีก” นายวันวิชิต กล่าว
ส่วนการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 บางพรรคการเมืองไม่ได้พูดถึงเรื่องของค่าแรง นายวันวิชิต มองว่า เพราะเงื่อนไขว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ต้องไปต่อ หลังบริหารประเทศมาแล้ว ดังนั้น คนที่ควบคุมทิศทางทางเศรษฐกิจคือมีวิธีคิดแบบระบบราชการ ดูเรื่องการใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าอย่างประหยัด แต่ไม่ได้เพิ่มวิธีการหารายได้เข้ามา ทำให้มุมมองไม่เหมือนกัน จึงไม่แปลกที่การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคการเมืองไม่ค่อยยุ่งกับเรื่องค่าของชีพ
ส่วนนโยบายนำร่องของพรรคเพื่อไทยที่เปิดออกมาเรื่องค่าของชีพจะเปรี้ยงหรือจะแป้ก นายวันวิชิต กล่าว่า ยังเร็วเกินไปที่จะหล่าวแบบนั้น คงต้องดูสักระยะ เพราะท้ายที่สุดต้องเปรียบเทียบนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง ที่จะนำมาต่อสู้กัน .-สำนักข่าวไทย