ทำเนียบรัฐบาล 29 มิ.ย.-ครม.ขยายเวลามาตรการภาษี หนุนการบริจาคแก้โควิด-19 อีก 1 ปี หวังสร้างแรงจูงใจประชาชน -ภาคเอกชนมีส่วนร่วม
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากรสำหรับมาตรการภาษี เพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19) ซึ่งเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์(e-Donation) ของกรมสรรพากร และยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการสำหรับการบริจาคสินค้าให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ซึ่งสิ้นสุดมาตรการไปเมื่อวันที 5 มีนาคมที่ผ่านมา โดยการขยายเวลารอบนี้มีผลตั้งแต่การบริจาคในวันที่ 6 มีนาคม 2564-5 มีนาคม 2565 หรือขยายเวลาออกไปอีก 1 ปี
“คาดว่าจะทำให้ภาครัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 5 ล้านบาท แต่จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนและภาคเอกชนได้มีส่วนในการแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 และทำให้เกิดพลังสามัคคีในประเทศ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในการแก้ปัญหาโควิด-19ได้ด้วย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ในส่วนของบุคคลธรรมดากำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนเท่าจำนวนเงินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อน สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือราคาทรัพย์สินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
“มาตรการดังกล่าวในรอบที่ผ่านมาช่วงวันที่ 5 มีนาคม 2563-5 มีนาคม 2564 มีผู้บริจาคที่เป็นบุคคลธรรมดาจำนวน 53 ราย ยอดบริจาคจำนวน 3.96 ล้านบาท และผู้บริจาคที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจำนวน 64 ราย ยอดบริจาคจำนวน 22.07 ล้านบาท ซึ่งสปน.ได้นำเงินบริจาคดังกล่าวไปใช้ในการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จำนวน 102 ราย” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย